M. Chapoutier เจ้าพ่อแห่งไวน์ Rhone
May 19, 2021
ครั้งที่แล้วเราเจาะลึกเรื่องไวน์ในแคว้น Rhone ไปแล้ว วันนี้ผมอยากจะมาพูดถึง M. Chapoutier ผู้ผลิตดังแห่งแคว่น Rhone ที่เป็นที่หนึ่งในใจผม ถือเป็นยักษ์ใหญ่ประจำแคว้น โด่งดังไปทั่วโลก และได้รับการยอมรับจากสถาบันไวน์ดังๆ ต่างๆ มากมาย จนในปี 2019 ได้ชื่อว่าเป็นวินยาร์ดที่ดีที่สุดในยุโรป แถมติดอันดับ 5 วินยาร์ดดีที่สุดในโลก แถมไวน์ของ M. Chapoutier ยังเคยได้คะแนนเต็ม 100 จาก Robert Parker มากถึง 5 ตัว อีกด้วย แต่น่าแปลกที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักแบรนด์นี้เท่าไหร่… วันนี้ไวน์แมนจึงต้องขอพูดถึง M. Chapoutier ซักหน่อยครับ
ไวน์แนะนำ
ไวน์แนะนำ
ส่วนมาก ผู้ผลิตไวน์ใน Rhone จะเป็นวินยาร์ดเล็กๆ ผลิตกันเป็นครอบครัว ซึ่งจะมีไม่กี่ผู้ผลิตที่เป็นตระกูลใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ M. Chapoutier ซึ่งเป็นสมบัติของตระกูล Chapoutier ตั้งแต่ปี 1855 และสืบสานวินยาร์ดต่อๆ กันมาถึง 8 รุ่นเลยนะครับ!! ซึ่งทาง M. Chapoutier ค่อยๆ ขยายวินยาร์ดออกไปตั้งในหลายๆ พื้นที่เขตย่อยในแคว้น Rhone จนปัจจุบันนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์เดียวที่มีวินยาร์ดอยู่ครบตามพื้นที่สำคัญทุกแห่งในแคว้น Rhone เลยครับ
เป็นสาเหตุให้ไวน์ของ M. Chapoutier มีให้เลือกหลากหลาย ทุกระดับ ตั้งแต่ไวน์หรูหราสุด Exclusive จากทาง Rhone เหนือ อย่าง Hermitage และ Cote Rotie ที่เน้น Syrah โน้ตเข้มข้น ดุดัน หรือจะเป็นไวน์เบลนด์ที่ถูกลงมาหน่อย แต่ก็ยังคงความเข้มข้นจาก Rhone ตอนใต้อย่าง Chateauneuf-du-pape หรือไวน์ราคาย่อมเยาว์ ดื่มเพลินสไตล์ table wine แบบ Cote-du-Rhone ก็มีนะครับ
ทำไมต้องเป็น M. Chapoutier!
เพราะไวน์ของ Rhone ขึ้นชื่อว่าปลูกยากสุดๆ อย่างทางตอนเหนือของ Rhone จะมีอากาศแปรปรวนสูง พื้นที่เป็นเนินเขา รวมไปถึงตอนใต้เองก็มีหน้าดินเป็นก้อนหินยากต่อการปลูก และดูแลวินยาร์ด ผนวกกับองุ่น Syrah หรือ Moudevre ที่มีความเฉพาะมากๆ ชอบอากาศที่ขัดแย้งกัน ต้องมีทั้งแสงแดดจ้า และอากาศหนาว เพื่อที่จะได้องุ่นที่ออกมาดี เข้มข้น จึงทำให้ต้องเป็นผู้ผลิตที่มีประสบการณ์ ความชำนาญ และใจรักเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างผู้ผลิตที่ไม่ค่อยดี กับผู้ผลิตชั้นเซียนใน Rhone จึงห่างกันดั่งฟ้ากับเหว
Chapoutier ใช้ความชำนานเป็น 100 ปี เพื่อผลิตไวน์จาก Rhone ออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยกรรมวิธีที่ผสมผสานความดั้งเดิม เช่นการหมักองุ่นพร้อมขั้ว เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ดึงเอารสชาติขององุ่นออกมาได้แบบเต็มๆ ทั้งยังเน้นในเรื่องของการปลูก และผลิตไวน์แบบออแกนิค บางวินยาร์ดใช้วิธี biodynamic เลยครับ ซึ่งยิ่งทำให้ได้รสชาติไวน์ที่เป็นธรรมชาติที่บ่งบอกความเป็น Rhone ได้แบบตรงไปตรงมาครับ
ที่มาของ M. Chapoutier
Chapoutier เป็นหนึ่งในวินยาร์ดที่เก่าแก่ และมีความเป็นมายาวนานที่สุดใน Rhone ก่อตั้งขึ้นในปี 1808 โดยครอบครัว Calvet ก่อนที่ตระกูล Chapoutier จะซื้อไปในปี 1855 โดยสวนกระแสไวน์ในสมัยนั้นมากๆ ที่ผู้ผลิตหลายๆ เจ้ารวมถึง Calvet ด้วย ต้องการไปผลิตไวน์ที่บอร์โดซ์ ซึ่งกำลังบูมสุดๆ มากกว่า แต่สำหรับครอบครัว Chapoutier หัวใจสำคัญคือการพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดอย่าง Rhone ให้โด่งดัง เริ่มต้นด้วยวินยาร์ดเล็กๆ ณ ใจกลาง Tain L’Hermitage ทางเหนือครับ
โดยบุคคลที่เติมตัว M ไว้อยู่ข้างหน้าชื่อ Chapoutier คือชายที่เป็นดั่งบิดาของไวน์แคว้น Rhone ทั้งหมดได้แก่ Michel Chapoutier ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยแพชชั่นทุกเรื่องที่เกี่ยวกับไวน์ ซึ่งขึ้นมาบริหารวินยาร์ดในช่วงประมาณปี 1900 และพัฒนาไวน์ของ M. Chapoutier จนกลายเป็นสไตล์ที่หลายๆ คนคาดหวังกับไวน์จาก Rhone Valley ไปเลยครับ โดยอย่างแรกที่ Michel เน้นสำหรับวินยาร์ดของเขาก็คือทำการปลูกองุ่นแบบออแกนิค ไปจนถึงค่อยๆ ทำให้ระบบวินยาร์ดเป็นแบบ Biodynamic เน้นการดูแลองุ่นอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ใช่สารเคมีในการควบคุมดูแล ให้ระบบของธรรมชาติเพื่อดึงรสชาติที่ดีที่สุดออกมาจากองุ่นครับ นอกจากนั้นยังตัดขั้นตอนการกรองไวน์ (fining and filtration) ออก เพื่อเน้นรสชาติดิบเถื่อนดุดันให้กับไวน์ อันเป็นเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้ในไวน์จองฝรั่งเศสส่วนมากครับ
Michel Chapoutier – ‘Wine is born from heaven, earth, and love. ไวน์เกิดจากสวรรค์ พื้นดิน และความรัก’
ไวน์ดังๆ ของ M. Chapoutier
Chapoutier, Les Greffieux Ermitage 2015
เป็นไวน์ชูโรงของ M. Chapoutier ปลูกในวินยาร์ดดั่งเดิมเก่าแก่ โดยถึงแม้จะเป็นวินยาร์ดขนาดเล็ก แต่ได้ไวน์ Syrah รสชาติใหญ่อลังกาลกว่าไวน์หลายๆ ขวดที่คุณเคยดื่มมาอย่างแน่นอนครับ ซึ่ง Ermitage หรือ Hemitage นับเป็นอีกหนึ่งไวน์ที่ดังที่สุดของ Rhone ปลูกในวินยาร์ดเนินเขาสูง อากาศผันผวนยากต่อการดูแล แต่ผลตอบแทนคือไวน์สีแดงม่วงเข้มจนเกือบเหมือนน้ำหมึก จัดเต็มโน้ตแบล็คฟรุ๊ตผสมพริกไทย ชะเอม และดินเปียกๆ จัดว่าเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีรสชาติแมนๆ ดุดัน
Chapoutier, La Mordorée Côte-Rôtie 2012
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ Rhone กับไวน์ที่มีโน้ตดุดันคล้ายสัตว์ป่า มีความคล้ายกับ Hemitage ตรงที่เน้นรสชาติเข้มข้นของ Syrah โดยแทบไม่เบลนด์องุ่นสายพันธุ์อื่นเลย แต่จะเน้นความติดดิน ทรงพลัง โน้ตราสเบอร์รี่ ผสมผสานพริกไทย โรสแมรี่ มะกอกดำ
Chapoutier, La Bernardine Châteauneuf-du-Pape 2016
ลงมาทางตอนใต้กันบ้างกับไวน์เบลนด์ที่ดังที่สุดของ M. Chapoutier และ Rhone Valley โดย Châteauneuf-du-Pape จะเน้นเบลนด์องุ่นหลากหลายสายพันธุ์ แต่เน้นองุ่น Syrah, Grenache และ Mourvèdre ถ้าใครชอบไวน์โน้ตดินๆ หินๆ เข้มๆ ดิบๆ จะต้องตกหลุมรักกับไวน์ตัวนี้แน่นอน ด้วยเอกลักษณ์ในการปลูกองุ่นแบบไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพ รวมถึงเอจไวน์ในถังโอ๊คให้น้อยที่สุด จนทำให้ไวน์มีโน้ตเครื่องหนัง อบเชย กาแฟคั่ว
Chapoutier, Belleruche Côtes-du-Rhône Blanc 2018
ทางด้านไวน์ขาวก็ดังไม่แพ้กัน โดยจะมีจุดเด่นที่พันธุ์องุ่นหายาก อย่างตัวนี้เป็นเบลนด์ Grenache Blanc, Clairette และ Bourboulenc เป็นไวน์ที่ดื่มง่าย light-bodied แต่ไม่เน้น acidity ชัดเจน และไม่หวานด้วย! จะเน้นกลิ่นหอมขึ้นจมูกของดอกไม้ พีช แอผลิคอต รวมไปถึงกลิ่นสดชื่นแบบ Fennel อ่อนๆ