fbpx

งดบริการให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี อ่านนโยบายการขาย คลิก

ติดต่อเราเพื่อสอบถาม

แอด LINE สั่งเลย

*สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น

Please add Image or Slider Widget in Appearance Widgets Page Banner.
If you would like to use different Widgets on each page, we reccommend Widget Context Plugin.

รู้หมด! เรื่อง Burgundy Wine (ไวน์เบอร์กันดี)

July 29, 2020

The best money can buy! คือนิยามที่นักดื่มหลายๆ คนมอบให้ Burgundy Wine (ไวน์เบอร์กันดี) ฉะนั้นอย่าให้เงินในกระเป๋ามาเป็นอุปสรรค ในฐานะคอไวน์ เราทุกคนก็ควรจะทำความรู้จัก กับเบอร์กันดีไวน์ ดีกรีระดับโลก!


ไวน์แนะนำ



จะไม่เป็นที่จับตามองได้อย่างไร!? สำหรับ Burgundy Wine (ไวน์เบอร์กันดี) ที่หากมีการจัดอันดับไวน์ราคาแพงเมื่อไหร่ ก็กวาดอันดับ TOP 50 ครองชาร์ตไปกว่าครึ่ง ด้วยความที่เป็นหนึ่งในไม่กี่พื้นที่ที่สามารถปลูกองุ่นแดงและขาว ได้ดีแบบกินกันไม่ลงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ไวน์เบอร์กันดี Pinot Noir รสละมุนแห่งแคว้น Côte de Nuits ที่มีวินยาร์ดระดับ Grand Cru มากถึง 24 แห่ง ไปจนถึง Chardonnay แสนนุ่มลิ้น ที่มีรสชาติเฉพาะตัวแห่งแคว้น Chablis แม้จะดังขนาดนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าไวน์เบอร์กันดีนับเป็นเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ของไวน์ทั้งหมดในฝรั่งเศส นั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไม Burgundy Wine จึงแพงขนาดนี้ครับ!

เช่นเดียวกับ  Bordeaux wine ความพิเศษของไวน์เบอร์กันดีไม่ได้อยู่ที่องุ่น แต่อยู่ที่พื้นที่ (terroir) โดยแต่ละไร่ แค่หากกันไม่กี่เอเคอร์ ก็สามารถปลุกองุ่นที่มีรสชาติแตกต่างกันอย่างมาก จึงทำให้เป็นพื้นที่ที่มีความเฉพาะเจาะจง และซับซ้อนเป็นอย่างมาก ข้อมูลของไวน์แมน จึงเป็นเหมือนการอินโทร สำหรับใครที่อยากรู้เรื่องไวน์เบอร์กันดีในเชิงลึกกว่านี้ครับ

Burgundy เบอร์-กัน-ดี คือแคว้นที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศฝรั่งเศส มีภูมิประเทศเป็นหุบเขาที่ลาดชั้น นอกจากนั้นยังมีสภาพอากาศที่แปรปรวน หน้าร้อนอุณหภูมิจะพุ่งขึ้นสูง หน้าหนาวก็จะหนาวและแห้งมาก อากาศระหว่างวันก็จะคาดเดายาก มีฝน ลูกเห็บ ตกบ่อย ทำให้ผลผลิตแต่ละปีแตกต่าง และมีเอกลักษณ์เฉพาะของปีนั้นๆ

โดยอีกหนึ่งความพิเศษของ Burgundy คือคุณภาพดินในพื้นที่ ที่มีลักษณะผสมชั้นหินปูน (limestone) ที่เกิดจากการทับถมของพื้นดินใต้ท้องทะเลเมื่อหลายล้านปี อุดมไปด้วยแร่ธาติต่างๆมากมาย ส่งเสริมให้รสชาติองุ่น เช่น Pinot noir ที่หากปลูกในเบอร์กันดี จะมีความ heavy นุ่มลึก แต่ก็ยังเข้มข้นซับซ้อน และสามารถเอจได้ดีกว่า Pinot ในพื้นที่อื่นๆ นั่นเองครับ

ลักษณะของ Burgundy Wine

หลายคนมักคิดว่าไวน์เบอร์กันดี จะต้องมีความซับซ้อนในรูปแบบที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง หากแต่คุณสามารถมองไวน์เบอร์กันดีง่ายๆ หลักๆ เลยคือไวน์แดงเบอร์กันดี ทำจาก Pinot Noir ส่วนไวน์ขาวเบอร์กันดี ทำจาก Chardonnay แน่นอนว่าเบอร์กันดีมีการปลูกองุ่นพันธุ์อื่นๆ ปนเปผสมกันไปตามแต่พื้นที่ หากแต่องุ่น 2 พันธุ์นี้มีชื่อเสียงมากถึงมากที่สุดจนบดบังองุ่นพันธุ์อื่นๆ ในภูมิภาค

Burgundy Red wine (ไวน์แดงเบอร์กันดี)

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า Pinot Noir มีรสชาติที่ซับซ้อน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หนักมาก Light-Medium Body และ medium-dry แถมยังไม่ค่อยฝาด โดยโน๊ตหลักของไวน์จะมีความเป็นผลไม้เปรี้ยวหวานอย่างราสเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ หรือเชอร์รี่ ยิ่งทิ้งไว้นานโน๊ตที่ซ้อนอยู่ของอบเชย และซาสซาฟราส ก็จะยิ่งชัดขึ้น โดยในการให้รสชาติกลมกล่อมที่สุดควรเก็บไว้ประมาณ 5 – 8 ปี

โดยจุดเด่นที่ทำให้คอไวน์หลายๆ คนยก Burgundy Pinot Noir ขึ้นแท่น คือลักษณะเฉพาะตัวขององุ่นที่มีความ Light กว่าไวน์แดงส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงความซับซ้อนของรสชาติได้ไม่แพไวน์แดงที่เป็น Full-body เลยทีเดียว อีกทั้งยังมีโน๊ตที่ซ้อนอยู่ในไวน์มากมาย ตั้งแต่วนิลา เครื่องเทศ ช็อกโกแลต ไปจนถึงใบยาสูบ และไม้โอ๊ค ซึ่งยิ่งเก็บไว้นาน รสชาติก็จะยิ่งเด็ดชัดขึ้นครับ

บางครั้งนอกจาก Pinot Noir ในพื้นที่ยังปลูก Gamay ไวน์แดง light-body มี tannin ต่ำ ที่เป็นที่รู้จักกันในนาม Bouhoulais Nouveau (อ่านเพิ่มเติม) ซึ่งเป็นไวน์ที่มีคุณภาพต่ำ ผลิตในปริมาณที่มาก นิยมดื่มทันที ไม่ผ่านการ ageing ใดๆ

Burgundy White (ไวน์ขาวเบอร์กันดี)

อาจพูดได้เต็มปากว่า Chardonnay จาก เขต Chablis ใน Burgundy  เป็นตัวจุดประกายให้ทั้งโลกตกหลุมรักกับไวน์ขาวอีกครั้ง ด้วยรสชาติเบาๆ ดื่มง่าย สดชื่น มาพร้อมโน๊ตเด่นของผลไม้อย่างพีช เลม่อน และแอปเปิ้ล ผสมผสานกับโน๊ตของเนย และวนิลาอ่อนๆ ซึ่งโน๊ตครีมมี่นี่เอง ที่เป็นเด่นของ Burgundy Chardonnay ซึ่งหาได้ยากในไวน์ขาวชนิดอื่นๆ ทำให้รสชาติละมุนลิ้น ไม่เปรี้ยวโดด

แม้ Chardonnay จะบดบังองุ่นขาวพันธุ์อื่นๆ เสียเกือบมิด แต่เบอร์กันดีก็ยังปลูก Aligote ซึ่งเป็นองุ่นขาวที่มีโน๊ตของเลม่อน ดอกไม้ และสมุนไพร ให้สัมผัสที่มีเอกลักษณ์ไม่แพ้ตัวอื่นๆ และยังมีบางพื้นที่ปลูก Sauvignon Blanc ซึ่งจะหายากมากๆ จะปลูกแค่บางหมู่บ้านเช่น Saint-Bris-le-Vineux ซึ่งเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่ไวน์ขาว Saint-Bris ที่มาจากพื้นที่นี้ก็ถือว่าเป็นไวน์คุณภาพที่หาตัวจับได้ยากเช่นกันครับ

แผนผัง Burgundy Wine

สิ่งที่ทำให้หลายต่อหลายคนบอกว่า Burgundy เข้าถึงยาก ร้อยทั้งร้อยคือมีสาเหตุหลักมาจากภูมิศาสตร์ เพราะพื้นที่ทั้งหมดของ Burgundy ไม่ได้เชื่อมต่อกันเป็นผืนแผ่นดินเดียว แต่จะถูกแบ่งออกเป็น 5 พื้นที่ ด้วยกัน (Chablis, Cote de Nuits, Cote de Beaune, Cote Chalonnaise, Maconnais) ตั้งอยู่ตั้งแต่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และเยื้องลงมาบริเวณตะวันออกตอนกลางของฝรั่งเศส

1. Chablis (the holy grail of white wine)

เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่เหนือสุด ห่างจากพื้นที่อื่นๆ เป็นเอกเทศน์เล็กน้อย มีอากาศสุดขั้ว หนาวสุด ร้อนสุด อีกทั้งยังมีดินผสมหินปูนสีขาวฝุ่นคล้ายๆ ชอล์ก เรียกว่าดิน Kimmeridgian เหมาะกับการปลูก Chardonnay ที่มีความหวานกรอบ รสชาติโดดเด่นมีเอกลักษณ์ โดยเมือง Chablis เป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรประมาณ 2,300 คนเท่านั้น ซึ่งประชากรแทบทั้งหมด ทำงานในอุตสาหกรรมผลิตไวน์!

แม้ Chablis จะมีเพียงวินยาร์ดเดียวที่ได้ Grand Cru แต่มีพื้นที่ที่จัดเป็น  Grand Cru climats อยู่ทั้งสิ้น 7 พื้นที่ รวมแล้วกินเนื้อที่ถึง 625 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่เชิงเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Chablis โดยระดับของแต่ละวินยาร์ด อาจมีความก้ำกึงกัน เช่นวินยาร์ด La Moutonne ที่ตั้งอยู่ระหว่างวินยาร์ด Grand Cru ชื่อ Les Preuses และวินยาร์ด Vaudésir ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็น  “unofficial” Grand Cru แม้แต่ในฉลากยังมีระบุไว้เลยครับ หากแต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับใน Institut National des Appellations d’Origine (INAO)

  • Les Preuses
  • Vaudésir
  • Grenouilles
  • Valmur
  • Les Clos
  • Blanchot
  • Bougros
  • La Moutonne (unofficial)

ส่วนไวน์ที่ดีของดีที่สุด ที่ไวน์แมนชอบของ Chablis ก็คงหนีไม่พ้น Les Preuses Chablís Grand Cru หนึ่งเดียวใน Chablis ที่คว้า Grand Cru ด้วยรสละมุม มีโน๊ตของแอปเปิ้ลผสมอบเชย พร้อมกลิ่นและรสที่ค้างในปากยาวนาน

2. Côte de Nuits (the holy grail of red wine)

อาจยกให้พื้นที่ Côte de Nuits เป็นพื้นที่ปลูกไวน์ทรงเกียรติที่สุดในเบอร์กันดี หรืออาจที่สุดในโลกเลยก็ได้ครับ เพราะนอกจากจะเป็นทำเลทองในการปลูกองุ่น ยังเป็นพื้นที่ที่มีไร่ดีกรี Grand Cru มากที่สุดในเบอร์กันดี คือมีมากถึง 24 แห่ง ทำให้สามารถตีราคาที่ดินได้แพงที่สุดในบรรดาไร่องุ่นและวินยาร์ดทั้งหมดทั่วโลก

Pinot Noir ที่ปลุกใน Cote de Nuits จะมีความ  full bodied  และมีรสชาติเข้มข้นมากกว่าที่อื่นทำให้ราคาไวน์ที่มาจากพื้นที่นี้สามารถขึ้นสูงถึงหลักแสนหลักล้านเลยทีเดียว โดยหลักๆ กว่า 80% ปลูก Pinot Noir ที่เหลือปลูก Chardonnay และ Rosé ปะปนกันไป

ทำเลทองที่ว่านี้จะต้องอยู่ริมแม่น้ำ Saône โดยจะเป็นวินยาร์ดเล็กๆ ปลูกแบบไม่เน้นปริมาณ เน้นคุณภาพ และกรรมวิธีพิถีพิถัน ตั้งแต่บริเวณ Gevery Chambertin และ Morey St-Denis ไปจนถึงทางใต้ของ Vougeot และ Vosne Romanée ที่ต้องปลูก Pinot Noir สามารถบ่มไว้นานเป็น 10 ปี เรียกได้ว่าหากเงินไม่ถึงก็ไม่ได้ดื่มครับ

แต่ใครอยากได้ไวน์ที่ถูกลงมาหน่อย แต่ก็ยังมีโปรไฟล์ของ Burgundy สามารถหาได้ที่หมู่บ้านเล็กๆ ทั่วไป เช่น Fixin, Brochon, Premeaux, Comblanchien และ Corgoloin ซึ่งล้วนแต่ปลูก Pinot Noir ด้วยกันทั้งสิ้น

Chambertin

Chambertin – เป็นวินยาร์ดที่โด่งดังที่สุดในหมู่บ้าน Gevry ซึ่งขึ้นชื่ออย่างมากทางด้านรสชาตินุ่มลึกซับซ้อนขององุ่น และโครงสร้างที่หนักแน่น ขณะที่ยังมีโน๊ตของ dark fruit อยู่อย่างครบถ้วน โดยในพื้นที่นี้มีวินยาร์ดที่ได้ Grand crus ด้วยกัน 9 แห่ง ซึ่งล้วนแต่ชื่อขึ้นต้นด้วย Chambertin เหมือนกันหมด จึงอาจทำให้สับสนบางเล็กน้อย ดังนี้ครับ : Chambetin, Chambertin-Clos-de-Bèze, Latricières-Chambertin, Chapelle-Chambertin, Charmes-Chambertin, Griotte-Chambertin, Mazis-Chambertin, Mazoyères-Chambertin and Ruchottes-Chambertin.

โดยผู้ผลิตไวน์ที่โดงดังที่สุดในพื้นที่นี้มีชื่อว่า is Domaine Armand Rousseau ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของวินยาร์ดประมาณ 5.4 ไร่ใน Chambertin และเป็นเจ้าของพื้นที่ไร่อื่นๆ มากมาย ด้วยดินที่อุดมไปด้วยหินปูนจึงทำให้ผลิตไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru ออกมาได้ หนึ่งในนั้นคือ Domaine Armand Rousseau Chambertin ซึ่งทางไวน์แมนขอยกให้เป็น Burgundy red ที่ดีที่สุดเท่าที่ทางเราเคยลิ้มชิมรสมาเลยครับ ซึ่งรสชาติของ Domaine Armand Rousseau ก็ยากที่จะอธิบายครับ ด้วยรสชาติที่เข้มข้น ซับซ้อนแต่ก็ละเอียดอ่อน พร้อมโน๊ตของเครื่องเทศ และของคาวต่างๆ มากมาย ให้รสสัมผัสนุ่มลึกเหมือนไหมกำมะหยี่ สง่างามและเย้ายวน สุขุมและรุมเร้า ตื่นเต้นและน่าหลงไหล ไม่หนักหรือเบาเกินไป ทุกอย่างสมดุล เข้ากันได้เป็นอย่างดีครับ

Vosne-Romanée

Vosne-Romanee เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่จัดว่าเป็นขวัญใจของคอไวน์หลายๆ คน ด้วย 6 เขตย่อยๆ ที่ต่างก็มีดีกรีไร่ระดับ grands crus กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่เช่นกัน

Romanée-Conti :

เป็นวินยาร์ดที่ครอบคลุมทั้งหมู่บ้าน ซึ่งผลิตหนึ่งในไวน์ที่แพงที่สุดในโลก บางวินเทจราคาแพงพุ่งขึ้นสูงถึงหลักล้าน หลักสิบล้านไปเลยก็มีครับ! โดยผลผลิตทั้งหมด ถือเป็นสิทธิ์ผูกขาดของ Domaine de la Romanée-Conti ซึ่งถูกผลิตขึ้นเพียง 600 cases (lung) or 6000-8000 bottles ต่อปี จากพื้นที่เพาะปลูก 11.25 ไร่ เท่านั้น ไวน์ที่มาจาก Romanée-Conti จึงนับว่าเป็นไวน์ระดับท๊อปที่ถูกเสาะหาจับจองกันอย่างหนัก โดยทั้งรสชาติและราคาก็จะพัฒนาไปตามการเวลาด้วยเช่นกัน

La Romanée :

เป็นวินยาร์ดที่ถือสิทธิ์ผูกขาดโดย Domaine Liger-Belair มีการผลิตแค่ 300 ขวดต่อปีในไร่ที่มีขนาด 5.25 ไร่เท่านั้น

La Tâche :

Domaine de la Romanée Conti ก็เป็นเจ้าของ La Tâche อีกเช่นกัน ซึ่งมีพื้นที่เพราะปลูกทั้งสิ้นประมาณ 37 ไร่ ถูกแบ่งออกเป็น La Tâche และ Les Gaudichots ไวน์ที่นี่ ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติดีสม่ำเสมอ แม้ไวน์จะอายุน้อย หรือมาจาก Vintage ที่ไม่ดี แต่รสชาติก็ยังจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ

Richebourg :

เป็นไร่ขนาด 50 ไร่ มีเจ้าของร่วมหลายจ้าว ประมาณ 10 จ้าวได้  หนึ่งในนั้นคือ Domaine Leroy และ Domaine de la Romanée Conti โดยไวน์ของพื้นที่นี้ มักถูกใช้คำจำกัดความว่า “ยั่วยวน”

Romanée-Saint-Vivant :

เมื่อเทียบกับไวน์ในพื้นที่บ้านใกล้เรือนเคียง ไวน์ของ Romanée-Saint-Vivant อาจดูไม่ค่อยเด่นนัก ด้วยรสที่ Light กว่า ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ 60 ไร่ ทั้งหมดในพื้นที่นี้ ตกเป็นของ Domaine de la Romanée Conti ตามเคยครับ

La Grande Rue :

นี่คือพื้นที่สุดท้ายที่ได้รับการโปรโมทจาก premier cru โดยมี Domaine François Lamarche เป็นเจ้าของ มีพื้นที่ประมาณ 8.75 ไร่ ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่ La Tâche และ Romanée-Conti

พื้นที่อื่นๆ ใน  Cote de Nuits :

  • Morey-Saint-Denis  5 grands crus : Clos Saint-Denis, Clos de Tart, Clos de la Roche, Clos des Lambrays และ Bonnes-Mares.
  • Chambolle-Musigny 2 grands crus : Bonnes-Mares และ Musigny.

‘ไวน์เบอร์กันดี’ ของ Chambolle-Musigny ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่นุ่มนวลของผลไม้ต่างๆ ตรงข้ามกับไวน์ของ Gevrey Chambertin ที่มีรสชาติเข้มข้น หนักแน่น

  • Vougeot 1 grand cru : Clos de Vougeot ou Clos Vougeot
  • Flagey-Echezeaux deux grands crus : Echezeaux และ Grands-Echezeaux

เกรดต่ำลงมาจากระดับ  Grand Cru คือ Premier Cru และ village wines ตามลำดับ โดย Premier cru มีความหลากหลายมาก ไวน์บางขวดอาจดีกว่าระดับ village wines ขึ้นมาเล็กน้อย หรือบางขวดอาจเรียกได้ว่าเทียบเท่าระดับ Grand Cru เลยก็ว่าได้ครับ ตัวอย่างคือ Nuits-Saint-Georges โดยปกติแล้วไม่เคยมีวินยาร์ดระดับ Grand Cru ใน Nuits-Saint-Georges แต่ไวน์ระดับ Primier Cru ในพื้นที่นี้มีคุณภาพสูงมาก บางครั้งอาจเทียบเท่าหรือแม้แต่ดีกว่าไวน์ Grand Cru บางตัวด้วยซ้ำครับ

โดยหมู่บ้าน Nuits-Saint Georges ตั้งอยู่กึ่งกลางพื้นที่ Côte de Nuits AOC อันโด่งดัง แบ่งได้เป็น 41 วินยาร์ด Premier Cru ย่อย ซึ่งสามารถแยกแยะความแตกต่างได้ชัดเจนที่สุดตามพื้นที่ ตอนล่าง vs ตอนบน หากเป็นไวน์ของตอนบนไวน์จะมีโน๊ตของผลไม้สีแดง ไปจนถึงกลิ่น Floral แต่หากมาจากตอนล่าง จะมีโน๊ตหลักของผลไม้สีดำ กลิ่นดิน และ Tannin สูงกว่าทางเหนือครับ

3. Côte de Beaune

หาก Côte de Nuits เป็นราชา Côte de Beaune ก็เปรียบดังราชินี ที่อยู่ทางใต้ลงมาเล็กน้อย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ปลูก Chardonnay  ได้ดีจนติด Grand Cru ประมาณ 8-9 ไร่ รวมถึงไร่ Chardonnay appellation Montrachet อันโด่งดัง ที่ใช้วิธีการปลูกแบบไร่เปิด แตกต่างไปจากไร่องุ่นทางตอนเหนือส่วนใหญ่ของฝรั่งเศส ทำให้รสชาติองุ่นมีความโดดเด่นแตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ดินในพื้นที่นี้มีลักษณะเป็นดินเหนียว (clay) และดินหินปูน (limestone) โดยปกติแล้ว Pinot Noir จะเติบโตได้ดีในดินเหนียว ส่วน Chardonnay จะชอบดินหินปูนครับ

ส่วนหมู่บ้านย่อยที่โด่งดังเรื่องไวน์ขาวมีดังนี้ครับ Chassagne-Montrachet, Santenay, Meursault, Puligny-Montrachet และ St. Aubin โดยสิ่งที่ทำให้ไวน์ขาวของ  Côte de Beaune โดดเด่นคือกลิ่นหอมของดอกไม้ แอปเปิ้ล แพร์ ไปจนถึงเฮเซลนัทเบาๆ รวมถึงไวน์แดงรสชาติซับซ้อน ก็มีเหมือนกับครับ

สำหรับไวน์แดง หมู่บ้านที่โด่งดังได้แก่ Volnay, Pommard และ Beaune โดยทั่วไปไวน์ในพื้นที่นี้จะมีรสชาติออกไปทาง Fruity และดื่มง่ายกว่าไวน์จาก Cote de Nuits แม้จะไม่ได้ดังมาก แต่พื้นที่นี้ก็เป็นที่รู้จักกันในหมู่คนรักไวน์ ที่ชอบไวน์ดื่มคล่องๆ ในราคาที่จับต้องได้นั่นเองครับ

ภูมิภาคไวน์เบอร์กันดีอื่น ๆ

(4) Côte Chalonnaise

ตั้งอยู่ระหว่างเมือง Chagny และ Saint-Vallerin ตั้งแต่สมัยก่อนพื้นที่นี้มักถูกมองว่าเป็นพื้นที่ผลิตไวน์สำหรับชาวบ้าน ไม่ได้สูงส่งเหมือน Côte de Beaune และ Côte de Nuits แต่ก็มองข้ามไม่ได้ หากคุณกำลังตามหาไวน์ดี ราคาประหยัด

(5) Mâconnais

นอกจากจะอยู่ใต้สุดแล้ว Mâconnais ยังมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในเขต Burgundy ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นเหมือนกับแกะดำ ถูกตราหน้าว่าเป็นไวน์เกรดล่าง จนมาในช่วง 60s – 70s คนในพื้นที่พยายามพัฒนาคุณภาพขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับ

(6) Bouzeron

เป็นแคว้นหนึ่งเดียวใน Burgundy ที่ปลูกเฉพาะ Aligoté ซึ่งเป็นไวน์ขาวเบาๆ สดชื่นๆ เพอร์เฟ็คสำหรับการดื่มรับลมร้อนสุดๆ

(7) Rully

ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ยังคงผลิตไวน์ขาว และโรเซ่ ด้วยกรรมวิธีดั้งเดิม เหมาะสำหรับใครก็ตามที่ชอบรสชาติคลาสสิค

(8) Pouilly-Fuissé

เป็นแคว้นเล็กๆ ที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามของหุบเข้า Solutré อุดมไปด้วยดินหินปูนจึงสามารถปลูก Chardonnay คุณภาพเยี่ยมได้ ให้รสไวน์ขาวที่เต็มไปด้วยโน๊ตผลไม้ แอ๊ปเปิ้ล พีชขาว และสับปะรด ให้ความสดชื้นสุดๆ

เลือก Burgundy Wine ยังไง การันตีคุณภาพ

แน่นอนว่าพื้นที่ของ Burgundy ซับซ้อนซ้อนเงื่อนขนาดนี้ คำถามที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไวน์ที่ได้มาจากภูมิภาคนี้จริง? และมีมาตรฐานอะไรมารับประกัน?

นั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมไวน์ Burgundy ก็ต้องมี Classification มากะเกณฑ์คุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด 4 ระดับด้วยกัน

Regional Wines (52%) – พิสูจน์ว่า Burgundy Wine ไม่ได้มีแต่แพงๆ อย่างเดียว เพราะกว่าครึ่งของไวน์ในพื้นที่ คุณสามารถซื้อได้ ใช้จำกัดความไวน์ที่ทำจากองุ่นที่ปลูกที่ไหนก็ได้ในเขต Burgundy รสสัมผัสเบาๆ ดื่มง่าย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้เป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อย ก่อนทานอาหารมื้อหนักครับ ซึ่งอาจมีอีกชื่อบนสลากไวน์ ได้แก่ Bourgogne Rouge สำหรับไวน์แดง และ Bourgogne Blanc สำหรับไวน์ขาว

Village Wines (37%) – พูดง่ายๆ คือไวน์ขวัญใจประจำหมู่บ้าน ตัวที่ดังหน่อยก็จะมี Pouilly-Fuissé, Santenay หรือ Givry เป็นต้น ซึ่งมักจะตั้งชื่อตามหมู่บ้านที่ทำการปลูกไวน์นี้ ส่วนมากมีรสชาติเบาๆ สดชื่นๆ มีโน๊ตของผลไม้อ่อนๆ ไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่น่าเบื่อหน่ายเสียทีเดียว

Premier Cru หรือ 1er Cru (10%) – นับเป็นไวน์ที่นักดื่มหลายคนจับจ้องเช่นกัน เพราะราคาที่ยังจับต้องได้ และคุณภาพก็จัดว่าไม่เลวเลยทีเดียว มาจากไร่พิเศษที่เรียกว่า “climats” โดยไวน์อาจมีโน๊ตเฉพาะตัวบ้างอย่าง หรือกรรมวิธีพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้รสชาติไวน์โดดเด่น และมีชั้นเชิงกว่าไร่ข้างเคียง จนได้รับเกรดที่สูงกว่า Village Wines ขึ้นมา

Grand Cru (1%) – as mentioned Romanée Conti, La Tâche, Montrachet, Chambertin และอีกหนึ่งหยิบมือเท่านั้น คือชื่อ ‘ไวน์เบอร์กันดี’ ที่จัดว่าเป็นสุดยอดของสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นไวน์แดง Pinot noir ทรงพลัง ซับซ้อน หลายมิติ ไปจนถึง Chadonnay ลื่นลิ้น ละเมียดละไมในทุกโน๊ตสัมผัส นี้คือไวน์ที่นักดื่มยอมทุ่มเงินหลักแสนหลักล้าน เพื่อที่จะได้ครอบครองมานั้นเองครับ

แต่แค่นี้ยังไม่หมด เพราะ Chablis  ซึ่งอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างตนว่า มีลักษณะค่อนข้างแตกแยกจาก 4 เขตที่เหลือของ Burgundy ทำให้มีเกณฑ์การเกรดไวน์ที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย ได้แก่

Petit Chablis: ทำจากองุ่นที่โตได้ทั่วไปในเขต Chablis ซึ่งจะมีรสชาติหนักไปทางเปรี้ยว ควรเลือกดื่มไวน์ที่ยังอายุน้อยอยู่ จะได้รสชาติที่สดชื่นกว่า

Chablis: จะมีรสชาติที่กลมกล่อม และสัมผัสได้ถึงแร่ธาตุจากตัวองุ่นได้มากกว่า เพราะปลูกตามดินไหล่เขารอบหมู่บ้านที่อุดมไปด้วยหินปูน จึงได้รสชาติที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อยนั้นเองครับ

Premier Cru Chablis: นับเป็น 15% ของไวน์ทั้งหมดใน Chablis ซึ่งรสชาติไวน์จะมีความน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยโน๊ตที่คุณคาดไม่ถึงมากกว่า เพราะทำการปลูกในไร่เฉพาะ ที่อุดมไปด้วยดิน Kimmeridgian โดยในฉลากจะมีตัวบอกไว้เลยว่ารสชาติของไวน์จะออกไปทางไหน ให้ดูดีๆ เช่น Côte de Léchet = รสเข้มข้น, Fourchaume = ผลไม้

Grand Cru Chablis: วินยาร์ดตั้งอยู่ทางเนินเขาดอนเหนือของเมือง ซึ่งจัดว่าเป็นจุดเดียวใน Chablis เท่านั้นที่ได้ Grand Cru โดยฉลากบนขวดจะระบุไว้เป็นอย่างชัดเจนว่าสภาพอากาศของไวน์แต่ละ Vintage เป็นอย่างไร โดยจะมีด้วยกัน 7 รูปแบบ (Blanchot, Bougros, Les Clos, Grenouilles, Presuses, Valmur และ Vaudésir) เพราะจะส่งผลให้รสชาติไวน์แตกต่างกันไป แต่โน๊ตหลักๆ ของสุดยอดไวน์ขาวนี้จะมีความเป็นดอกไม้ ผสมกับน้ำผึ้ง พร้อมกลิ่นอายดินเขม่าเล็กน้อย ทำให้ไวน์มีมิติมากขึ้น

การจับคู่ Burgundy ให้เข้ากับอาหารโปรดของคุณ

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ‘ไวน์เบอร์กันดี’ เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากในหมู่คอไวน์ คือสามารถยกระดับรสชาติอาหารหลากหลายเมนู

Red Burgundy (ไวน์แดงเบอร์กันดี)

ไวน์แดงเบอร์กันดีจะมีหลากหลายระดับตั้งแต่ Light ไปจนถึง Full-Body โดยจะแยกเป็น Ageing ของ ‘ไวน์เบอร์กันดี’

Bourgogne rouge – เป็นไวน์พื้นๆ ดื่มง่าย จับคู่กับอาหารที่มีกลิ่นคาวและรสมันเช่นชีสนมแพะ หรือเนื้อไก่ เนื้อกระต่ายซอสครีม จะเข้ากับไวน์ชนิดนี้เป็นอย่างดี

ไวน์อายุประมาณ 2-5 ปี เช่น Marsannay, Mercurey and Santenay – เหมาะกับเนื้อที่มีความกึ่งสุกกึ่งดิบ ทานกับซอสที่รสไม่แรงนัก เช่นเนื้อแกะ และเนื้อเป็ดซอสหวาน

ไวน์แดง medium to Full-body เช่น  Nuits-Saint-Georges และ Gevrey-Chambertin – เข้ากับเนื้อได้ทุกชนิด แม้แต่ซอสรสจัด กลิ่นแรง ก็ยังเอาอยู่ เช่นเนื้อสัตว์ปีกที่มีกลิ่นเฉพาะตัวต่างๆ เช่นไก่ฟ้า ห่าน ไปจนถึงเนื้อกวาง ไปจนถึงชีสที่มีกลี่นแรงหน่อย เช่น L’ami de Chambertin และ Epoisses

White Burgundy (ไวน์ขาวเบอร์กันดี)

สำหรับไวน์ขาว ที่ส่วนมากรสชาติจาก Chardonnay จะให้ความรู้สึกสดชื่น นุ่มนวล ซึ่งหากเป็นเกรดดีๆ ก็จะมีโน๊ตของเครื่องเทศแทรกเข้ามาด้วย จึงจับคู่ได้ดีกับอาหารทะเล ที่มีความมัน และครีมมี่ เช่น กุ้งอบเนย ล็อบสเตอร์ หอยเชลล์ ไปจนถึงไก่อบซอสครีมเห็ด ซุปกะหล่ำบด หากจับคู่กับชีสควรจะเป็นชีสที่มีกลิ่นและรสไม่จัดจ้านซักเท่าไหร่ เช่น  Caerphilly และ Chaource

การเก็บรักษาไวน์ Burgundy

ควรเก็นในห้องเก็บไวน์ที่มีแสงลอดผ่านน้อยๆ ความชื่นไม่ควรสูงกว่า 70% โดยคุมอุณหภูมิ หากเป็นไวน์แดง อยู่ที่ประมาณ 12˚C < 19˚C ส่วนไวน์ขาวประมาณ 8˚C < 12˚C

ส่วนเรื่องการ Decant ก็สามารถทำได้ ไวน์ขาวประมาณ 30 นาที ไวน์แดงประมาณ 40 นาที แต่หากเป็นเบอร์กันดีที่ Light-body เน้นกลิ่นหอมของดอกไม้ ก็ไม่จำเป็นต้อง Decant เพียงเปิดขวดทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เทไวน์ไว้ในแก้วประมาณ 1-2 แก้ว และเทกลับเข้าไปในขวด เพื่อให้มีอากาศเข้าไปในไวน์ เพื่อชูกลิ่นของไวน์ให้โดดเด่นขึ้น ก็สามารถดื่มได้แล้วครับ

Burgundy Wine เป็นดั่งมาตรฐานของนักดื่มไวน์หลายๆ คน ตั้งแต่ไวน์แพงแบบที่มีรถขายรถ มีบ้านขายบ้าน ไปจนถึงไวน์ระดับกลาง และไวน์ทั่วไป แล้วแต่คุณจะเลือกดื่ม เลือกลอง ให้เข้ากับสถานการณ์ และมูดอารมณ์ นั้นเองครับ!

ของไวน์เบอร์กันดีเเล้ว ไวน์โลกใหม่อื่นๆ ก็น่าสนใจนะครับ อย่าง ไวน์ชิลี ก็ถือว่าเริ่ดเหมือนกันนะครับ ใครสนใจก็สามารถเเวะไปเยี่ยมชมที่บล็อกเราได้ครับ! 

 

 

Our favourite wines

"ไวน์" ไวน์แมน - ไวน์แดง ขาว สปาร์กลิงไวน์

สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด

บริษัทขอสงวนสิทธิ์การสั่งให้สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น ผู้สั่งต้องรับสินค้าด้วยตัวเอง พนักงานทางร้านจะต้องมีการพบหน้าผู้สั่งและตรวจสอบบัตรประชาชนและอายุโดยไม่มีข้อยกเว้น องค์ประกอบภาพและคำอธิบายทั้งหมดไม่ได้บ่งบอกถึงประเภทและสรรพคุณของเครื่องดื่ม สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด หลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับ