fbpx

งดบริการให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี อ่านนโยบายการขาย คลิก

ติดต่อเราเพื่อสอบถาม

แอด LINE สั่งเลย

*สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น

Please add Image or Slider Widget in Appearance Widgets Page Banner.
If you would like to use different Widgets on each page, we reccommend Widget Context Plugin.

ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ ไวน์ Napa Valley

September 29, 2020

เส้นทางการทำไวน์ Napa Valley (นาปาวัลเล่ย์) ไม่ได้โรยด้วยกรีบกุหลาบ เพราะแต่ก่อนพื้นที่นี้ถูกใช้เพาะปลูกลูกพลัม และเลี้ยงปศุสัตว์เท่านั้น แต่ ณ ตอนนี้นาปาวัลเล่ย์กลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ปลูกองุ่นที่แพงที่สุด อะไรที่ทำให้ไวน์นาปาวัลเล่ย์สามารถลืมตาอ้าปาก จนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกในฐานะผู้ผลิตไวน์ที่มีคุณภาพ และรสชาติดีอย่างไร้ข้อกังขา


ไวน์แนะนำ



เราอาจต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1976 ในยุคสมัยที่ฝรั่งเศสครองตลาดไวน์คุณภาพ ทั้งโลกเชื่อว่าไวน์จากฝรั่งเศสดีเลิศจนไม่มีชาติไหนเทียบได้ เพื่อยืนยันความเก๋าของตน ฝรั่งเศสได้จัดการ Blind Test ซึ่งคือการชิม และตัดสินไวน์โดยที่ไม่รู้ว่าไวน์นั้นมาจากประเทศอะไร และใครเป็นผู้ผลิต (blind test) โดยจัดขึ้นทุกปี ทั้งคนเข้าร่วมงาน ไปจนถึงนักข่าวเพียงไม่กี่คน ไม่ได้คาดหวังสิ่งอื่นใดมาก… เพราะสุดท้ายแล้วฝรั่งเศสก็จะเป็นฝ่ายชนะ พร้อมยืนหยัดความเป็นจ้าวแห่งไวน์เหมือนเช่นปีที่แล้วๆ มา

แต่! ในปี 1976 ผลกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น กลับสะเทือนวงการไวน์ทั่วโลก เมื่อรวบรวมคะแนนเสร็จสิ้น รางวัลอันดับที่ 1 ตกเป็นของไวน์ขาวและแดงจากแคลิฟอร์เนีย 1973 chardonnay จาก Chateau Montelena และ 1973  Cabernet Sauvignon จาก Stag’s Leap Wine Cellar เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกกล่าวขานในแวดวงไวน์ว่าเป็น “The Judgment Of Paris” ที่นอกจากจะทำให้ Napa Valley Wine เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ผลิตไวน์ชั้นนำของโลก ยังทำลายค่านิยมเก่าๆ และทำให้รู้ว่าไวน์ดีๆ ไม่ได้มีกระจุกอยู่แค่ในฝรั่งเศส หรืออิตาลีเท่านั้น

Napa Valley นาปา วัลเล่ย์ ตั้งอยู่ทางเหนือของอ่าวซานพาโบล (San Pablo Bay), ห่างจากซานฟรานซิสโกประมาณ 80 กิโลเมตร รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีสภาพภูมิศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์และหลากหลาย เพราะเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ระหว่างชายฝั่งทะเลแปซิฟิกที่หนาวเย็นและหุบเขาที่ร้อนระอุของแคลิฟอร์เนีย ทำให้สามารถปลูกองุ่นได้หลากหลายสายพันธุ์ อีกทั้งยังได้อิทธิพลของรอยเลื่อนแซนแอนเดรอัส (San Andreas fault) ทำให้ได้พื้นที่ที่เป็นหุบเขา และมีแร่ธาตุสูงจากหินภูเขาไฟ และการทับถมของแผ่นเปลือกโลก ถูกขนาบข้างด้วยเทือกเขาจาก 2 ข้าง ซึ่งช่วยควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับพอประมาณ และป้องกันฝนกรรโชกต่างๆ

นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำที่ไหลเอื่อย ที่เรียกกันว่า Lazy River หรือ Creek ทำให้มีความชุ่มชื้นตลอดทั้งปีแม้ในช่วงหน้าแล้งก็ตามครับ อีกทั้งเป็นหนึ่งในไม่กี่พื้นที่ในโลกที่มีอากาศอบอุ่นแบบเขตเมดิเตอร์เรเนียน ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป เหมาะสมกับการปลูกองุ่นอย่างยิ่ง

Napa Valley Wine (ไวน์นาปาวัลเล่ย์)

ไวน์ในอเมริกากว่า 89% ถูกผลิตในรัฐแคลิฟอเนีย 1 ใน 3 นั้นปลูกใน นาปาเคาร์ตี้ แต่เพียง 4% ของไวน์ที่ผลิตในแคลิฟอเนียเท่านั้นที่มาจากนาปาวัลเล่ย์! จึงนับว่าเป็นไวน์ที่มีคุณภาพดีที่สุดในอเมริกา! โดยองุ่นที่เป็นดั่งเพชรเม็ดงามของนาปา วัลเล่ย์ คือ Cabernet Sauvignon ซึ่งปลูกได้เยอะที่สุด นับเป็น 40% ของผลผลิตทั้งหมด ซึ่งองุ่นอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมไม่แพ้กันได้แก่ Chardonnay, Merlot,Pinot Noir, Sauvignon Blanc และ Zinfandel

Napa Valley Red

รสชาติเด่นของไวน์แดงนาปาวัลเล่ย์ จะได้รสชาติเข้มข้นของ Cabernet Sauvignon จนคนท้องถิ่นมีคำกล่าวที่ว่า ‘Cab is King!’ ไวน์นาปาวัลเล่ย์ยังสามารถแบ่งพื้นที่เพาะปลูกได้ 2 รูปแบบ โดยให้รสชาติและโน๊ต ที่แตกต่างกันออกไปด้วย โดย Cabernet Sauvignon ที่ปลูกในพื้นที่หุบเขา (valley floor) จะมีรสชาติหรูหราและกลมกล่อม ด้วยโน๊ตของ บลูเบอร์รี่ พลัม เชอร์รี่ดำ ชะเอมเทศ โมคา พร้อมแทรกกลิ่นดอกไวโอเล็ท และมิ้นท์

พื้นที่ไหล่เขา (hillsides) จะมีความเข้มข้นและหยาบๆ Tannin สูงกว่า มีโน๊ตของแบล็คเคอร์แรนท์ เชอร์รี่ดำ เชอร์รี่ป่า เครื่องเทศ เทียนสัตตบุษย์ สนซีดาร์ (cedars) และเสจ (sage)

ไวน์นาปาวัลเล่ย์ (Napa Valley) ยังนิยมปลูก Merlot ซึ่งจะมีรสชาติอ่อนโยนกว่า Cabernet Sauvignon จึงนิยมใช้ผสมกับองุ่นพันธุ์ที่มีรสชาติหนักๆ อย่าง Cabernet เพื่อลด Tannin ในไวน์ และทำให้รสชาติละมุน และสมดุลขึ้นนั้นเองครับ

Napa Valley White

ไวน์ขาวนาปาวัลเล่ย์ ก็มีความโด่งดังไม่แพ้ไวน์แดงเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Chardonnay รสละมุน อุดมไปด้วยโน๊ตของเนย ทำให้เป็นไวน์ขาวที่ออกครีมมี่หน่อยๆ ไปจนถึงไวน์ขาวสดชื่น รสชาติผลไม้ Fruity อย่าง Sauvignon Blanc หรือไวน์ที่มีกลิ่นหอมของโน๊ต Floral อย่าง Viognier สุดท้ายหากใครชอบไวน์หวาน นาปาวัลเล่ย์ก็มีให้ เพราะในฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่ Riesling สุกงอม ทำไวน์หวานที่รสชาติเข้มข้น

แผนผัง Napa Valley

หลายคนคิดภาพ Napa Valley ไว้ซะใหญ่โตด้วยภาพของไร่องุ่นทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แต่แท้จริงพื้นที่ที่นับว่าเป็นนาปาวัลเล่ย์จริงๆ ไม่ได้ใหญ่โตแต่อย่างใด วัดจากเหนือสุดไปใต้สุดมีความยาวประมาณ 48 กิโลเมตร ขวาสุดไปซ้ายสุดประมาณ 8 กิโลเมตร แต่ก็ถูกอัดแน่นไปด้วยพื้นที่เพาะปลูก และทำไวน์อันหลากหลาย แบ่งย่อยได้ทั้งหมดถึง 16 พื้นที่ด้วยกันครับ

Coombsville

ใครจะไปคิดว่าพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้สุดของนาปาวัลเล่ย์อันเงียบสงบ ติดทิวเขา Vaca ที่น้อยคนนักจะรู้จัก จะสามารถผลิตไวน์คุณภาพได้ไม่แพ้พื้นที่อื่นๆ อาจเพราะเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างใหม่ เพิ่งได้รับ AVA (American Viticultural Area) designation ในปี 2011 แต่ก็เริ่มเป็นที่จับตาของคอไวน์และนักท่องเที่ยวมากมายแล้วตอนนี้ เพราะเป็นที่ที่ปลูก Cabernet Sauvignon ได้ดีไม่แพ้พื้นที่เก่าๆ เลยครับ!

วินยาร์ดแนะนำคือ Ackerman Family Vineyards, Ancien และ Arrow & Branch เป็นต้น

Oak Knoll

เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นเนินเขา นิยมปลูก Pinot Noir and Chardonnay เพราะด้วยสภาพอากาศที่อับชื้น และมักหมอกลง ทำให้เหมาะกับองุ่นที่ทนอากาศหนาวหน่อยๆ ได้ ซึ่งสามารถปลูก Cabernet และ Merlot ได้แต่รสชาติจะไม่จัดจ้านเท่าพื้นที่ที่มีแสงแดดเยอะ จึงไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก ได้รับ AVA เมื่อปี 2004

Yountville

ตั้งอยู่ใจกลางนาปาวัลเล่ย์ บริเวณตีนเขา Mayacamas  เหมาะสมอย่างมากในการปลูก Cabernet Sauvignon คุณภาพเยี่ยม

Oakville

ถือว่าเป็นสวรรค์ของคอไวน์ที่อยากหา Cabernet Sauvignon ดีๆ ซักขวด สภาพพื้นที่คล้ายกับ Oak Knoll แต่มีอากาศที่ร้อนกว่า เป็นที่ตั้งของวินยาร์ดชื่อดัง ตั้งแต่ธุรกิจครัวเรือน ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ไวน์นาปาวัลเล่ย์ชื่อดังยังมาจาก Oakville เยอะแยะ เช่น

  • Robert Mondavi Winery – ก่อตั้งเมื่อปี 1966 ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกไวน์นาปาวัลเล่ย์เลยก็ว่าได้ มีเป้าหมายคือการผลิตไวน์ที่มีคุณภาพเทียบเท่าไวน์ยุโรป

  • B Cellars – เจริญรอยตาม Robert Mondavi โด่งดังในเรื่อง Reserve wines, Core Flagship Blends และ boutique varietal

Rutherford

เป็นพื้นที่หุบเขา จึงทำให้ได้ Cabernet Sauvignon ที่กลมกล่อม ได้โน๊ตผลไม้ชัดเจน นอกจากนั้นพื้นที่นี้ยังปลูก Merlot ที่ดีเยี่ยมได้อีกด้วย โดยไวน์ที่มาจาก Rutherford นอกจากรสชาติที่ละเมียดละไม ยังมักจะมีราคาที่แพงมากครับ

โดยวินยาร์ดที่ใหญ่ที่สุดคือ Rutherford Hill ซึ่งมีครอบครัว Terlato เป็นเจ้าของมากว่า 70 ปี เน้นผลิตไวน์แดงเบลนด์ระหว่าง Cabernet Sauvignon, MerlotPetit และ Verdot นอกจากนั้นยังมีไวน์จาก Merlot เป็นหลัก ซึ่งราคาก็จะต่ำลงมาหน่อยครับ

Stags Leap District

เป็นพื้นที่ทางตะวันออกของตีนเขา Vaca ซึ่งมีสภาพดินเป็นตะกอนน้ำพารูปพัด (Alluvial fan) อันอุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิด สามารถปลูก Cabernet Sauvignon รสชาติเข้มข้น โน๊ตเครื่องเทศคมชัด น่าดึงดูด

Stags Leap – อาจเรียกได้ว่าเป็นวินยาร์ดที่โด่งดังที่สุดในนาปาวัลเล่ย์ ก่อตั้งเมื่อปี 1969 โดย Nathan Fay เป็นที่รู้จักทั่วโลกเมื่อได้รับชัยชนะจาก Blind Test ณ กรุงปารีส ปี 1976 ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า “The Judgment Of Paris” ทำให้ไวน์แดงของที่นี้ เป็นที่ต้องการอย่างมาก ด้วยโน๊ตของเบอร์รี่สีดำ ผสมผสานกับกลิ่นของดอกไวโอเล็ทออลสไปซ์ อบเชยหวาน กานพลู สนซีดา และเบย์ลีฟ

St. Helena

ดินของที่นี่เป็นดินถมธารน้ำ จึงทำให้ได้องุ่นที่ทำให้รสชาติของไวน์ขาดเอกลักษณ์เสียเล็กน้อย หากแต่เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยไร่ และวินยาร์ดดังๆ รวมถึงวินยาร์ดแรกที่ได้ก่อตั้งขึ้นในพื้นที่นาปา วัลเล่ย์ด้วย!

Charles Krug

ก่อตั้งขึ้นในปี 1861 โดยวิสัยทัศน์ของ Charles Krug ซึ่งถูกบริหารต่อโดยครอบครัว Mondavi สืบทอดกันยาวนานถึง 4 รุ่น ใครอยากสัมผัสไวน์ดั่งเดิม ตั้งแต่ Cabernet Sauvignon ไปจนถึง Family Reserve ที่ทำเลียนแบบ Bordeaux Blend ประกอบด้วย Cabernet Sauvignon, Merlot และ Petit Verdot

นอกจากนั้นยังเป็นที่แรกที่ทำ Tasting Room ให้แขกชิมหรือซื้อไวน์ได้จากผู้ผลิตได้เลยโดยตรง ส่งผลให้วินยาร์ดแทบทุกที่ในนาปาวัลเล่ย์ มี Tasting Room หมดครับ

Calistoga

อยู่พื้นที่เหนือสุดของ Napa Valley ที่ที่เขา  Vaca และ Mayacamus มาบรรจบกัน มีสภาพอากาศที่ร้อนระหว่างวันและหนาวเมื่อเข้าสู่ตอนกลางคืน ผนวกกับดินที่มีความคล้ายดินภูเขาไฟ ทำให้ได้ Cabernet Sauvignon ที่กรอบ รสชาติเข้มข้น นอกจากนั้นยังปลูก Zinfandel คุณภาพเยี่ยมได้อีกด้วยครับ

Diamond Mountain District

อยู่ นาปาตอนเหนือ แต่ต่ำลงมาจาก Calistoga เล็กน้อย ติดกับปลายเขา Mayacamus อุดมไปด้วยดินภูเขาไฟ จึงเหมาะกับการปลูก Cabernet Sauvignon, Cabernet Franc และ Petit Verdot โด่งดังในเรื่องสปาร์คกลิ้งไวน์

Schramsberg – เป็นผู้ผลิตสปาร์คกลิ้งไวน์ที่โด่งดังที่สุดในนาปาวัลเล่ย์ เช่น Schram Rosé ซึ่งเป็นสปาร์คกลิ้งโรเซ่ ทำมาจาก Chadonney ผสมกับ Pinot Noir รสชาติละมุม สดชื่นด้วยโน๊ตของพีช ผสมกับเครื่องเทศมากมาย

Spring Mountain District

ตั้งอยู่กึ่งกลางของพื้นที่ภูเขา Mayacamus อุดมไปด้วยดินภูเขาไฟ ผสมผสานกับหินทราย ทำให้ได้องุ่นที่รสละมุม และอ่อนโยนกว่าพื้นที่โดยรอบ ซึ่งนอกจาก Cabernet แล้ว พื้นที่นี้ยังปลูก Riesling Riesling Gewurztraminer และ Gewurztraminer ได้อีกด้วย

Pride Mountain – เป็นวินยาร์ดที่เหมาะกับคนที่ต้องการไวน์คุณภาพในราคาไม่แพง ขายไวน์หลากหลาย ตั้งแต่  Chadonney, Cabernet Sauvignon ไปจนถึง Syrah

Mount Veeder

อยู่ฝั่งตะวันตกที่สุด ติดกับต้นเขา Mayacamus ใกล้กับพื้นที่บริเวณอ่าว โดยมีพื้นที่ไร่ส่วนใหญ่ตามตีนเขา Veeder ส่วนใหญ่ปลูก Cabernet Sauvignon โดยสภาพดินเป็นดินภูเขาไฟคล้ายคลึงกับ Calistoga ครับ

Chiles Valley

เป็นพื้นที่หุบเขาเล็กๆ นับเป็น AVA ที่เล็กที่สุดในอเมริกาก็ว่าได้ครับ โดยตั้งอยู่ระหว่าง พื้นที่ St. Helena และทะเลสาบ Berryessa สามารถผลิต Zinfandel คุณภาพเยี่ยม

Atlas Peak

เป็นพื้นที่ที่ถูกยกตัวสูง จากแนวหินที่นูนขึ้นของภูเขา Vaca จึงทำให้เหมาะกับการปลูก Cabernet Sauvignon จึงปลูกได้ดีและเยอะด้วย

Stagecoach – เป็นไร่ที่สามารถปลูก Cabernet Sauvignon  เสียจนมีผู้ผลิตอีกกว่า 70 จ้าวรอบพื้นที่ใช้องุ่นของที่นี่ครับ

Howell Mountain

เป็นพื้นที่แรกที่ได้ Sub-AVA ในนาปาวัลเล่ย์ เมื่อปี 1988 แม้จะอยู่ไม่ไกลจากศูนย์กลางของนาปาวัลเล่ย์มากนัก แต่ต้องขึ้นเขาที่ถนนเล็กและคดเคี้ยว ทำให้ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ที่เอกเทศน์จากเขตอื่น ส่วนมากจะปลูก Cabernet Sauvignon ซึ่งมีเอกลักษณ์ขององุ่นที่เติบโตในพื้นที่เขาสูง นั้นคือผลเล็กเปลือกหนา จึงทำให้มีรสชาติเข้มข้น Tannin สูง และขึ้นชื่อว่าเป็น Cabernet ที่เข้มข้นที่สุดในโลก รสชาติประกอบไปด้วยโน๊ตของแบล็คเบอร์รี่แห้ง ผสมผสานกับกลิ่น Smokey ของซิก้า

จึงไม่แปลกที่ไวน์ในพื้นที่นี้จะแพง เพราะนอกจากจะผลิตยาก ยังได้ผลผลิตที่น้อยกว่าอีกด้วย แต่ด้วยรสชาติอันมีเอกลักษณ์ ทำให้ยังมีผู้ผลิตไม่น้อยที่ผลิดไวน์จาก Howell Mountain ยกตัวอย่างเช่น Black Sears, Beatty Ranch Vineyard และ Piña เป็นต้นครับ

Los Carneros

เป็นพื้นที่ที่รวมระหว่าง Sonoma และ Napa Valley ด้วยความที่ติดชายฝั่ง San Pablo Bay ทำให้มีความชื้นและหมอก อากาศหนาวเย็น เหมาะสมกับการปลูก Pinot Noir และ Chardonnay

Buena Vista – เป็นหนึ่งในโรงงานผลิตไวน์เชิงพาณิชน์ที่เก่าแก่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่ปี 1857 เจ้าของคือ Agoston Haraszthy

Wild Horse Valley

เป็นพื้นที่ที่มีความใกล้เคียงกับLos CarnerosจึงปลูกPinot Noirได้ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีหมอก แต่อุณหภูมิระหว่างวันจะเย็นกว่า Los Carneros เล็กน้อยครับ

วิธีการเลือก Napa Valley Wine 

อาจอ่านฉลากเพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่าเป็นไวน์นาปาวัลเล่ย์จริงๆ – เพราะแคลิฟอเนียผลิตไวน์เยอะมาก ซึ่งไวน์นาปาวัลเล่ย์ถือว่าเป็น 4% ของไวน์ทั้งหมดเท่านัั้น หากใครซื้อโดยไม่ดูดีๆ อาจลงเอยได้ไวน์จาก Santa Barbara หรือ Santa Cruz แทน ก็เป็นได้

ซึ่งไวน์บางขวดจะระบุในฉลากแค่เพียง ‘California’ ซึ่งอันนี้ไม่ได้ระบุว่าปลูกในนาปาวัลเล่ย์นะครับ ให้ดูที่ AVA (American Viticultural Area) ซึ่งบางครั้งจะระบุว่า Napa Valley หรือระบุเป็นชื่อย่อยทั้ง 16 พื้นที่ตามข้างต้นที่ได้กล่าวมา นั่นแหล่ะครับ จึงจะเป็นการการันตีว่าไวน์ดังกล่าวมาจากนาปาวัลเล่ย์จริงๆ

โดย Napa Valley ไม่ได้ใช้การ Classification แบ่งไวน์เป็นเกรดเหมือนทางยุโรป แต่สามารถดูคุณภาพของไวน์ได้จาก AVA ซึ่งกว่าจะได้มาในแต่ละพื้นที่ก็ยากเย็นแสนเข็น ต้องพิสูจน์ถึงคุณภาพและเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ในแต่ละพื้นที่ให้ได้ จึงมั่นใจได้เลยว่าไวน์ที่มี AVA กำกับ จะต้องมีคุณภาพที่ดี

Special Designation ไม่ได้ดีเสมอไป – ไวน์ที่มีคำขึ้นต้นว่า ‘Reserve’ หรือ ‘Special’ ไม่ได้บ่งบอกถึง Classification อะไรเลยครับ การใส่ Special Designation สำหรับผู้ผลิตชาวอเมริกันจะใส่ได้ตามใจเลยครับ อาจมาจากความชื่นชอบส่วนตัว หรือเป็นแผนทางการตลาดเท่านั้นเอง

ไวน์นาปาวัลเล่ย์ถูกๆ ก็มี – Cabernet Sauvignon ดีๆ ซักขวด อาจมีราคาค่อนข้างแพง แต่วางใจได้เลย เพราะไวน์นาปาวัลเล่ย์ถูกๆ แต่เต็มเปี่ยมคุณภาพก็มีเช่นกัน! A good Cabernet Sauvignon might be quite expensive. But don’t worry, napa valley offers cheaper and quality wines too! สำหรับใครที่อยากได้ไวน์นาปาวัลเล่ย์ราคาประมาณ 1,000 -2,000 บาท แนะนำให้เลือกไวน์จากองุ่นจำพวก Sauvignon Blanc, Zinfandel, Syrah และ Merlot ที่หากผลิต หรือเอจดีๆ ก็อาจมีรสชาติดีไม่แพ้ Cabernet หรือ Chardoney เลยก็ได้ครับ

จับคู่ Napa Valley กับอาหารโปรด

โดยการที่นาปาวัลเล่ย์เป็นดั่งสวรรค์ของนักท่องเที่ยวไปแล้ว จึงทำให้มีร้านอาหาร ขายไวน์คู่เมนูสุดสร้างสรรค์มากมาย จึงทำให้เราได้ไอเดียการจับคู่อาหารมาอย่างมากมายเลยครับ

Cabernet Sauvignon + มะเขือยาวอบซอสเห็ดและซอสมะเขือเทศ

Cabernet Sauvignon เข้ากันได้ดีกับมะเขือม่วงอบมาก โดยเฉพาะ Cabernet Sauvignon ที่มีรสชาติออกไปทางรสผลไม้ พร้อมโน๊ตที่ละมุนละไม จะยิ่งส่งเสริมรสเปรี้ยวที่มาจากซอสมะเขือเทศได้เป็นอย่างดี

Cabernet Sauvignon + สเต็กซอสพริกไทยและซอส Cognac

ยิ่งเป็นไวน์ที่ Full-body และ Tannin สูง ก็จะยิ่งเข้ากับเมนูเนื้อสเต็ก ที่มีรสชาติกระเทียมหรือพริกไทยแรกๆ โดยไวนช่วยชูกลิ่นหอมเนื้อและกลบกลิ่นฉุนต่างๆ ครับ

Howell’s Cabernet Sauvignon + เคบับเนื้อไบซัน

สำหรับเนื้อสัตว์ป่า ที่มักมีกลิ่นคาวอย่างไบซัน ต้องอาศัยไวน์รสชาติเข้มข้น Tannin สูงเป็นพิเศษเพื่อมากลบกลิ่นเฉพาะตัวของเนื้อ และทำให้มื้ออาหารสมบูรณ์อย่างถึงที่สุดครับ

ทั้งหมดทั้งสิ้นคือข้อพิสูจน์ ที่ทำให้ไวน์นาปาวิลเล่ย์โด่งดังไปทั่วโลก และเป็นตัวแทนไวน์โลกใหม่ ที่เทียบระดับได้ดีสูสีกับไวน์โลกเก่าได้เลยครับ

 

Our favourite wines

"ไวน์" ไวน์แมน - ไวน์แดง ขาว สปาร์กลิงไวน์

สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด

บริษัทขอสงวนสิทธิ์การสั่งให้สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น ผู้สั่งต้องรับสินค้าด้วยตัวเอง พนักงานทางร้านจะต้องมีการพบหน้าผู้สั่งและตรวจสอบบัตรประชาชนและอายุโดยไม่มีข้อยกเว้น องค์ประกอบภาพและคำอธิบายทั้งหมดไม่ได้บ่งบอกถึงประเภทและสรรพคุณของเครื่องดื่ม สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด หลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับ