ตำนาน Chateau Lafite สุดยอดไวน์ฝรั่งเศส!
August 17, 2020
ในบรรดาไวน์ฝรั่งเศสทั้งหลาย หลายคนคงจะคุ้นกับชื่อ Chateau Lafite หรือ Château Lafite Rothschild ยักษ์ใหญ่ในวงการไวน์ยุโรปที่มีวินยาร์ดทั้งในบอร์โดซ์ ในทำเลที่หลายๆ คนอิจฉา ไปจนถึงชิลี อาร์เจนติน่า หรือแม้แต่ประเทศจีนก็มีครับ ไวน์เกรดพรีเมี่ยม ระดับ first growth ไปจนถึงไวน์ราคาย่อมเยาว์ก็มีครับ!
ไวน์แนะนำ
ประวัติความเป็นมาของ Chateau Lafite
จัดว่าเป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตไวน์ฝรั่งเศสที่โด่งดัง และมีความเป็นมาที่ยาวนานมากที่สุดครับ เพราะถูกกล่าวถึงตั้งแต่ปี 1234 ซึ่งสมัยนั้นเป็นโบสถ์ Vertheuil ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพื้นที่ Pauillac ซึ่งโบสถ์สมัยก่อนก็จะมีการปลูกองุ่นทำไวน์อยู่บ้างประปราย จนต่อมาพื้นที่ตกเป็นของครอบครัว Ségur ในช่วงปี 1700 ซึ่งเห็นว่ามีการปลูกองุ่นทำไวน์อยู่แล้วจึงเริ่มสานต่อ และเริ่มผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง โดยในช่วงปี 1695 ลูกชายบ้าน Ségur ได้แต่งงานกับลูกสาวบ้าน Château Latour ทำให้ทั้งสองบ้านใหญ่จับมือกันกลมเกลียว ช่วยกันผลิตไวน์มาจนถึงปลายปี 1700 พัฒนาเทคนิคผลิตไวน์ใหม่ๆ จนเฟื่องฟู ทำให้ครอบครัว Ségur ถูกขนานนามว่าเป็น the prince of wine
แต่ต่อมา Chateau Lafite เริ่มก้าวเข้าสู่วิกฤติ ตั้งแต่ในปี 1784 ที่ธุรกิจถูกส่งไปสู่รุ่นลูก ซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งสามคนของตระกูล Ségur แต่ไม่อาจดำเนินกิจการไปได้อย่างราบลื่นทำให้ต้องขายไร่ให้กับ Nicolas Pierre de Pichard ผู้ซึ่งเป็นประธานของ Bordeaux Parliament ในสมัยนั้น ซึ่งต่อมาในปี 1794 Nicolas Pierre de Pichard ถูกประหารชีวิตในเหตุการที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า “The Terror” ซึ่งเป็นการโค่นล้มชนชั้นปกครองมากมาย ทำให้ Chateau Lafite ตกเป็นของเศรษฐีชาวดัตช์ไป แต่ก็ยังดำเนินกิจการทำไวน์ต่อไปครับ
ในปี 1855 Chateau Lafite ได้รับการยอมรับครั้งสำคัญ ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังมาตลอด ทำให้วินยาร์ดได้ระดับ First Growth ไวน์เกรด Premier Grand Cru จนต่อมาเข้าสู่ปี 1868 Chateau Lafite ถูกซื้อต่อโดยมหาอำนาจอย่าง Baron James de Rothschild ทำให้Chateau Lafiteมีอีกชื่อหนึ่งนั่นก็คือ Domaines Barons de Rothschild หรือ Château Lafite Rothschild ครับ และนำพาวินยาร์ดผ่านช่วงเวลาอันแสนลำบากในช่วง 1900 ที่เต็มไปด้วยวิกฤติการเงิน สงคราม และโรคภัยครับ จนประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกิจการถูกส่งไปถึง Baron Eric de Rothschild และลูกสาว Saskia de Rothschild ครับ
พื้นที่ของ Chateau Lafite
แน่นอนว่าพื้นที่ที่เป็นดั่งเพชรเม็ดงามของ Chateau Lafite คือพื้นที่ในเบอร์โดซ์ ในเขต Pauillac ซึ่งจะมีด้วยกัน 3 พื้นที่ได้แก่ Château Duhart-Milon’s, Château Rieussec และ Château L’Évangile สภาพดินจะมีความเป็นหล่มทรายผสมกับหินปูน ส่วนมากจะใช้ปลูก Cabernet Sauvignon และ Merlot สำหรับChâteau Rieussec จะอยู่ติดกับพื้นที่ Sauternes ซึ่งจะเหมาะกับการปลูกองุ่นขาวอย่าง Sémillon ครับ
นอกจากนั้นยังมีวินยาร์ดในฝรั่งเศสตอนใต้อื่นๆ ด้วย เช่นพื้นที่ Corbières appellation ซึ่งมีชั้นดินที่ตื้น เป็นหินและทรายผสมผสานกัน ลักษณะดินเป็นเนินเตี้ยๆ สามารถปลูกองุ่นได้หลากหลายตั้งแต่ Syrah, Mourvèdre, Grenache, Carignan, Cinsault ไปจนถึง Chardonnay, Merlot และ Cabernet Sauvignon ครับ
นอกจากนั้นวินยาร์ดอีก 3 ที่ในประเทศอื่นๆ ได้แก่ Los Vascos ในชิลี Caro ในอาร์เจนติน่า และสุดท้ายคือ Long Dai ในประเทศจีน ซึ่ง Chateau Lafite ต้องการที่จะเปิดตลาดไวน์ในประเทศอื่นๆ ครับ
ไวน์ของ Chateau Lafite
Château Duhart-Milon (4th Cru Class)
ไวน์ต้นแบบของวินยาร์ด Château Duhart-Milon ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไวน์สไตล์พื้นที่บอร์โดซ์เบลนด์ระหว่าง Cabernet Sauvignon และ Merlot ได้ไวน์สีแดงเข้ม full-bodied รสชาติเข้มข้น ซับซ้อนเต็มไปด้วยโน้ตของชะเอมเทศและเชอร์รี่ ซึ่งยิ่งเอจ ก็จะยิ่งมีโน้ตที่ทำให้คุณเซอร์ไพรซ์ได้อย่างอิ่มเอม เข้มข้นและหรูหราในขณะเดียวกันครับ
Château Rieussec (1st Cru Class)
ไวน์ขาวเกรดพรีเมี่ยมที่ชูรสชาติของ Sémillon เบลนด์กับ Muscadelle และ Sauvignon เพียงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มสมดุลของรสชาติไวน์ขาวครับ สีเหลืองทอง เป็นไวน์ขาว full-bodied รสเข้มข้น เต็มไปด้วยโน้ตของผลไม้แสนสดชื่นตั้งแต่แพร์ แอปริคอตเชื่อม พรุน ไปจนถึงกลิ่นไม้อ่อนๆ และรสสัมผัสอบอุ่นของวานิลลา ทำให้ได้ไวน์ที่มีสมดุลแห่งรสชาติที่งดงามครับ
Château L’Evangile
สำหรับคนที่ชอบไวน์แดงดื่มคล่อง ทำจาก Merlot เป็นส่วนมาก ประมาณ 80% – 90% และเบลนด์กับ Cabernet Franc เล็กน้อย ได้ไวน์สีแดงเข้มผสมสีม่วงไวโอเล็ทปลายๆ full-bodied โน้ตเด่นชัดคือแบล็คฟรุ๊ต ผสมผสานกับเครื่องเทศและโทสต์ ตอนจบของไวน์ละมุนนุ่ม พร้อม tannin ที่ลงตัวซึ่งได้จากการผลิตไวน์อย่างตั้งใจครับ
Le Dix de Los Vascos
ไวน์ชิลีที่ใครๆ ไม่ควรมองข้ามเลยครับ เพราะมาจากพื้นที่ Colchagua ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ดีที่สุดสำหรับไวน์แดงในชิลีเลยครับ ซึ่งไวน์ที่ได้จะเป็นไวน์เบลนด์ระหว่าง Cabernet Sauvignon (ประมาณ 85% ขึ้นไป), Syrah และ Carmenère ได้ไวน์แดงเข้มข้น full-bodied เต็มไปด้วยโน้ตที่สดชื่นของแบล็คฟรุ๊ต และ tannic อันสมดุลและละเมียดละไมครับ
จับคู่ Chateau Lafite กับเมนูโปรด
สำหรับไวน์แดงรสชาติเข้มข้นโดยเฉพาะ Château Duhart-Milon เหมาะกับเนื้อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อแกะและเป็ด ส่วนเมนูที่หลายๆ คนอาจคาดไม่ถึงว่าเข้ากันได้ดีกับไวน์แดงอย่างมากคือเมนูเครื่องใน เช่นตับอ่อนซอสทรัฟเฟิล ไปจนถึงสัตว์ปีกต่างๆ เช่นนกพิราบ นกกระทา และห่าน
ส่วน Château Rieussec ไวน์ขาวรสเข้มข้น เข้ากับซีฟู้ด โดยเฉพาะเนื้อปลาแน่นๆ อย่างเช่นทูน่า แซลม่อน ไปจนถึงปลาคอด อีกทั้งยังจับคู่กับเมนูของหวานรสหนักๆ เช่นชีสเค้ก และ เครมบรูย์เล เป็นต้นครับ