fbpx

งดบริการให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี อ่านนโยบายการขาย คลิก

ติดต่อเราเพื่อสอบถาม

แอด LINE สั่งเลย

*สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น

Please add Image or Slider Widget in Appearance Widgets Page Banner.
If you would like to use different Widgets on each page, we reccommend Widget Context Plugin.

เปิดตำนานการกลับมาอีกครั้งของไวน์ Emilia-Romagna

August 14, 2020

กล่าวถึง Emilia-Romagna (เอมีเลีย-โรมานยา) หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่หากกล่าวถึง Lambrusco (ลัมบรุสโก้) คงมีหลายๆ คน ‘อ้อ’ ขึ้นมาบ้าง เพราะเป็นไวน์ที่โด่งดังอย่างมากทั้งในและนอก Emilia-Romagna ด้วยรสชาติที่ดื่มง่าย เข้ากับอาหารได้หลากหลายอย่าง จนทำให้มีการผลิตอย่างแพร่หลายในช่วง 40 ปีที่แล้ว ที่ทำให้คุณภาพของไวน์ตกฮวบจนกลายเป็นเหมือนน้ำองุ่นซ่าหวานๆ มากกว่า ทำเอาคอไวน์หลายๆ คนโบกมืออำลาไวน์เอมีเลีย-โรมานยากันไปเป็นแถว แต่เมื่อไม่นานมานี้ ไวน์ของเอมีเลีย-โรมานยากลับมาผงาดในวงการไวน์โลกอีกครั้ง ด้วยคุณภาพและมาตรฐานที่มากขึ้นกว่าเดิม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยขีดฆ่าชื่อ เอมีเลีย-โรมานยา ออกจากไวน์ลิสท์ของคุณ…เตรียมเปลี่ยนความคิดได้เลยครับ!

 

ไวน์แนะนำ

 

ประวัติความเป็นมาของ Emilia-Romagna

Emilia-Romagna อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ทำให้พื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของแคว้นนี้เป็นพื้นที่หุบเขาและเขาสูงของเทือกเขาแอเพนไนน์  มีเมืองหลัวงที่โด่งดังอย่างเมืองโบโลนญ่า (Bologna) อยู่ศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกโหวตว่ามีคุณภาพชีวิตสูงที่สุดในอิตาลีเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกิน ทั้งเนื้อแปรรูป หมูแฮมต่างๆ ไปจนถึงเมนูยอดนิยมอย่างลาซันญ่า จึงไม่แปลกที่ไวน์จะถูกพัฒนาไปพร้อมกับอาหารการกิน

ก็ตามชื่อเลยครับ Emilia-Romagna ประกอบไปด้วย 2 เขต

Emilia ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตก พื้นที่ที่เต็มไปด้วยแนวเขาสูงต่ำเต็มไปหมด ครั้งหนึ่งเคยโดนปกครองด้วยกลุ่ม Barbarian หรือชาวพื้นถิ่น จึงมีอาหารที่รสชาติมัน หนักไปทางเนย เนื้อหมู เนื้อสัตว์ป่า จึงเป็นต้นกำเนิดของสปาร์คกลิ้งไวน์รสจัดจ้านที่ถูกผลิตขึ้นในพื้นที่นี้ เพื่อนำมาดื่มรักษาสมดุลให้กับมื้ออาหาร

ทางด้าน Romagna ด้วยความที่เป็นพื้นที่เรียบราบทางฝั่งตะวันออก เข้าถึงง่ายจากเมืองท่าสำคัญอย่างเวนิส ทำให้มีกลุ่มชาวโรมันไม่น่อยที่มาตั้งรกรากที่นี่ในสมัยโบราณ นำพาวิทยาการต่างๆ ในการทำไวน์อันเป็นระบบเข้ามาสู่ภูมิภาค จนในช่วงปี 1859-1861 เอมีเลีย และโรมานยา จึงได้มารวมกันอย่างเป็นทางการนั้นเอง

ทำให้ Emilia-Romagna กลายเป็นแคว้นเดียวในอิตาลีที่มีเนื้อที่ลากยาวจากชายฝั่งตะวันออก และตะวันตก ทำให้มีสภาพพื้นที่ที่หลากหลาย ได้ทั้งอากาศหนาวแห้งของเทือกเขาแอเพนไนน์ ไปจนถึงร้อนชื่นจากชายฝั่ง Adriatic มีแม่น้ำ Po ไหลจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก และมีดินที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กทำให้เหมาะสมกับการปลูกองุ่นอย่างยิ่ง!

องุ่นใน Emilia-Romagna

ด้วยความที่เป็นแคว้นที่มีความหากหลายของพื้นที่ ทั้งราบ เนินเขา และเขาสูง ทำให้ปลูกองุ่นได้หลากหลาย ในปริมาณที่เยอะ นับเป็น 15% ขององุ่นทั้งหมดในอิตาลีเลยทีเดียว โดยพันธุ์องุ่นที่ปลูกได้ดี ก็คือ Malvasia, Lambrusco, Trebbiano, Barbera, Bonarda และ Sangiovese.

ไวน์ Lambrusco

เป็นไวน์เชื้อสายอิตาเลี่ยนแท้ที่มาประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล เก่าแก่กว่า Cabernet เสียอีก! โดย Lambrusco ถือกำเนิดใน Emilia-Romagna คือไวน์เบลนด์ที่มาจากองุ่นท้องถิ่นมากมาย แต่ยึดองุ่น Lambrusco เป็นหลัก และผสมองุ่นตระกูลVitis labrusca ลงไป ซึ่งจะมีโปรไฟล์รีสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ นั้นคือจะออกรสหวานเล็กน้อย (semi-secco) ส่วนมากมีความสปาร์คกลิ้งเล็กน้อย (semi-sparkling) หรือที่ชาวอิตาเลี่ยนเรียกกันว่าฟิซซานเต้ (frizzante) ระดับแอลกอฮอร์น้อย กลิ่นหอมผลไม้ เช่นเชอร์รี่ และแบล็คเบอร์รี่ อีกทั้งยังมีโน๊ตของรูบาร์บและครีม ทำให้ รสอ่อน ดื่มง่าย เหมาะกับผู้หญิง หรือมือใหม่หัดดื่มไวน์  แต่ก็มี Lambrusco ที่คอไวน์หลายคนต้องยอมรับ

โดยสามารถแบ่งลัมบรุสโก้ได้เป็น 8 แบบโดยประมาณหรืออาจมากกว่านั้นเสียอีก แต่แบบที่จัดว่าคุณภาพดีที่สุดมีด้วยกัน 4 แบบ ดังนี้ครับ

  • Lambrusco di Sorbara มีรสชาติไลท์ และละมุนที่สุดในบรรดาลัมบรุสโก้ทั้งหมด มักมีสีชมพูอ่อนๆ รสสดชื่นและหวานอ่อนๆ ด้วยโน๊ตของดอกส้ม เชอร์รี่ และดอกไวโอเล็ท
  • Lambrusco Grasparossa เป็นลัมบรูสโก้ที่มีรสจัดที่สุด มาพร้อม tannin เล็กๆ และฟองที่ให้ความครีมมี่อันสมดุล เต็มไปด้วยโน๊ตชัดเจนของแบล็คเคอร์เร็ท และบลูเบอร์รี่
  • Lambrusco Maestri ให้รสองุ่นที่ชัดเจน และมีรสสัมผัสที่ครีมมี่กว่าแบบอื่น มาพร้อมโน๊ตของนมช็อกโกแล็ตอ่อนๆ ด้วยครับ แต่อาจหาผู้ผลิตที่เป็น single-varietal ในอิตาลียากนิดหนึ่ง แต่อาจหาได้จากผู้ผลิตในนาม Cantine Ceci และ Nero di Lambrusco Otello เป็นต้นครับ
  • Lambrusco Salamino มีลักษณะคล้ายการผสมผสานของ 2 แบบแรก นั้นคือมีโน๊ตผลไม้ชัดเจน แต่มีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า มักมีระดับความหวานตั้งแต่หวานน้อยไปถึงหวานมาก หาได้ในผู้ผลิตชื่อ Reggiano Lambrusco Salamino และ Lambrusco Salamino di Santa Croce เป็นต้น

แผนผัง Emilia-Romagna

เอมีเลีย-โรมานยา มีความซับซ้อนของภูมิภาคมาก เช่นเดียวกับพื้นที่ผลิตไวน์ชื่อดังต่างๆ มากมาย หากจะไล่พูดกันให้ครบทุกพื้นที่ ก็คงจะต้องใช้เวลาอ่านกันทั้งวันเลยครับ เราจึงยกเอาพื้นที่เด็ดๆ ที่ครอบคลุมรูปแบบไวน์อันหลากหลายของไวน์เอมีเลีย-โรมานยา มาให้ครบถ้วนครับ

1. Colli Piacentini

ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเอมีเลีย-โรมานยา อยู่รอบๆ ขอบเมือง  Piacenza อันเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยเนินเขา ซึ่งสามารถผลิตไวน์แดงรสชาติเข้มข้น ไปจนถึงไวน์ขาวกลิ่นหอม เช่น

  • Gutturnio อาจเรียกได้ว่าเป็นไวน์แดงสปาร์คกลิ้งที่โด่งดังที่สุดใน Colli Piacentini เป็นไวน์เบลนด์ที่มีส่วนผสมของ Barbera และ Croatina เป็นหลัก มีสีแดงทับทิมสด
  • Malvasia ไวน์ขาวเน้นกลิ่นหอมผสมผสานระหว่างกลิ่นผลไม้และดอกไม้ มีตั้งแต่ Dry ไปจนถึงหวานเล็กน้อย

2. Colli di Parma

อยู่ทางใต้ลงมาเล็กน้อยจากเมือง Via Emilia ที่อยู่ระหว่างแม่น้ำ Enza และ Stirano อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเนินเขาน้อยใหญ่ ทำให้เหมาะสมกับการปลูกองุ่นแดงอย่างยิ่ง ตั้งแต่

  • Barbera ไวน์แดงสีเข้ม full-bodied มีรสเข้มข้น อุดมไปด้วยโน๊ตของดาร์คเชอร์รี่ สตอเบอร์รี่แห้ง พลัม สมุนไพร ไปจนถึงวานิลลาอ่อนๆ
  • Bonarda ไวน์แดงรสชาติเข้มข้นไม่แพ้กัน มีโน๊ตของพลัมซอส เชอร์รี่ ฟิก และกระวาน

3. Parma, Reggio Emilia และ Modena

ถัดมาลงทางใต้หน่อย คือ 3 เมืองที่เรียงตัวกันเป็นแนวเฉียง ลงมาจนจะถึงเมืองหลวงอย่างโบโลนญ่า เป็นพื้นที่ราบสลับกับเนินเขา ซึ่งล้วนแต่เน้นในการผลิต Lambrusco อันเลื่องลือ ซึ่งในบรรดา ลัมบรุสโก้ ทั้งหมดก็มี DOC Lambrusco ที่ทางเราอยากแนะนำด้วยครับ

  • Lambrusco Grasparossa di Castelvetro เป็นไวน์สปาร์คกลิ้งเรดรสชาติเข้มข้น Tannin สูง โครงสร้างแข็งแรง และแอลกอฮอร์สูงกว่าลัมบรุสโก้อื่นๆ มีโน๊ตของดอกไวโอเล็ท สตอเบอร์รี่ พลัม และแบล็คเบอร์รี่
  • Lambrusco Salamino di Santa Croce มีสีแดงม่วง light-body แต่ยังคงมีกลิ่นหอมเข้มข้นของผลไม้และดอกไม้ พร้อมโครงสร้างไวน์ที่อยู่ครบ Semi-sweet และ dry frizzante

4. Colli Bolognesi

เป็นพื้นที่อยู่ตรงใจกลางของแคว้นเอมีเลีย-โรมานยา ซึ่งเป็นพื้นที่เนินเขาที่อยู่รอบๆ เมืองหลวง Bologna เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่น่าจับตามองอย่างมากเพราะสามารถผลิตสปาร์คกลิ้งไวน์ที่พอจะไปวัดไปว่ากับ Prosecco ได้

  • Pignoletto ทำจากองุ่น Pignoletto (แต่เช่นเดียวกับ Prosecco ที่องุ่นแท้จริงคือมีชื่อย่อยไปอีกว่า Grechetto Gentile หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า Alionzina) เป็นไวน์ขาว ส่วนมากจะทำเป็นสปาร์คกลิ้ง รสชาติสมดุล นุ่มละมุน หอมสดชื่น แต่ทิ้งรสขมอ่อนๆ ไว้ที่ปลายลิ้น โดย Pignoletto Classico ได้รับ DOCG ในปี 2011

5. Romagna

เป็นพื้นที่ที่อยู่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับชายฝั่ง Adriatic มีพื้นที่ราบเยอะ ปลูกองุ่นได้ทั้งองุ่นแดงและองุ่นขาว

  • Albana เป็นองุ่นขาวชนิดแรกที่ได้ DOCG ในอิตาลีเมื่อปี 1987 ได้ไวน์รสชาติหรูหรา acidity เฉียบคม พร้อมโน๊ตครีมมี่ และออกรสถั่วๆ ขมเล็กน้อยที่ปลายลิ้น
  • Sangiovese ถือเป็นองุ่นแดงที่เป็นตัวชูโรงของไวน์แดงในอิตาลีก็ว่าได้ ซึ่งสามารถปลูกได้ดีในพื้นที่นี้ มีรสชาติเข้มข้น อ่อนละมุน ซับซ้อน

หลังจากที่เปลี่ยนทิศทางจากการผลิตไวน์เน้นจำนวน ไวน์คุณภาพเยี่ยมของเอมีเลีย-โรมานยา ก็มีผลิตออกมาไม่ขาดสายเลยครับ ฉะนั้นเลิกมองข้ามไวน์ในพื้นที่นี้กันได้แล้วครับ!

Our favourite wines

"ไวน์" ไวน์แมน - ไวน์แดง ขาว สปาร์กลิงไวน์

สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด

บริษัทขอสงวนสิทธิ์การสั่งให้สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น ผู้สั่งต้องรับสินค้าด้วยตัวเอง พนักงานทางร้านจะต้องมีการพบหน้าผู้สั่งและตรวจสอบบัตรประชาชนและอายุโดยไม่มีข้อยกเว้น องค์ประกอบภาพและคำอธิบายทั้งหมดไม่ได้บ่งบอกถึงประเภทและสรรพคุณของเครื่องดื่ม สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด หลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับ
preloader