The judgement of Paris – พิพากพลิกโลกไวน์
August 14, 2020
สมัยก่อน โลกของไวน์ไม่ได้เปิดกว้างเหมือนกับทุกๆ วันนี้ ด้วยกฎเหล็กที่แม้จะไม่ได้บัญญัติไว้เป็นรายลักษณ์อักษร แต่ทุกคนก็รู้กันดี ว่า ‘แม้ว่าทุกที่จะผลิตไวน์ของตนเองได้ แต่ไวน์ชั้นดีจริงๆ ผลิตได้ที่เดียวในโลกเท่านั้น ได้แก่ประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง!’ จนกระทั้งเหตุการ์ชี้ชะตา ที่ไม่มีใครคาดคิดเกิดขึ้นในปี 1976 จากการแข่งขันชิมไวน์ธรรมดาๆ ระหว่างไวน์อเมริกา และฝรั่งเศส ที่มีนักข่าวไม่กี่คนมาเข้าร่วม กลายเป็นจุดเปลี่ยนแห่งไวน์โลกใหม่ พิสูจน์ว่าไวน์คุณภาพเยี่ยมสามารถมาจากที่อื่นนอกเหนือจากฝรั่งเศส เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกขนานนามว่า ‘The judgement of Paris – 1976’
ความเป็นมาของการแข่งขันชิมไวน์ (Wine Tasting)
การแข่งขันชิมไวน์มีมาตั้งแต่สมัย 1960s แล้ว จัดขึ้นโดยกลุ่มนักผลิตไวน์จากแคลิฟอร์เนีย ผู้ที่ชื่นชอบในรสชาติไวน์ฝรั่งเศสอย่าง Bordeaux และ Burgundy จึงให้ไวน์ฝรั่งเศสเป็นดั่งธงชัย และมั่นหมายว่าวันหนึ่ง ตนจะสามารถผลิตไวน์ที่มีคุณภาพเท่าเทียมหรือเหนือกว่าไวน์เหล่านั้น โดยการแข่งขันชิมไวน์ถูกจัดขึ้นโดยผู้ชิม หรือกรรมการ จะไม่รู้ว่าไวน์ที่ตนเองชิมนั้นมาจากประเทศใด หรือใครเป็นผู้ผลิต จึงเรียกว่า ‘blind tasting’ เพื่อให้การแข่งขันได้ผลที่เที่ยงตรง ไม่มีการลำเอียงที่สุดนั้นเองครับโดยตั้งแต่ช่วง 1960 ก็เห็นได้ชัดว่าอเมริกายังต้องพัฒนาไวน์ของตนอีกยาวไกล จนกระทั้งเข้าสู่ปี 1970 ที่ไวน์คุณภาพจากอเมริกา เริ่มออกมาให้โลกยลโฉมมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถูกยอมรับ เพราะถึงแม้ว่ากรรมการจะต้องอยู่ในขั้นตอนของการ blind tasting แต่กรรมการก็ยังสามารถรับรู้รสของไวน์ฝรั่งเศสและตัดสินโอนเอียงตามความต้องการของตนได้ อีกทั้งหลายคนถกเถียงว่าคุณภาพของไวน์ฝรั่งเศสจะถดถอยจากการขนส่งข้ามน้ำข้ามทะเล จึงทำให้ผลไม่เคยเป็นที่ยอมรับ… จนกระทั้งในปี 1976
เริ่มต้นคำตัดสิน The Judgement of Paris
มีการแข่งขัน Blind Tasting เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จัดที่ฝรั่งเศส ในวันที่ 24 พฤษภาคม ปี 1976 โดยมี Steven Spurrier พ่อค้าไวน์ชาวอังกฤษเป็นพ่องาน ซึ่งเจตนารมณ์ของนาย Spurrier ก็ไม่ได้เที่ยงตรงตั้งแต่แรก เพราะโอนเอียงไปเข้าข้างฝรั่งเศสเสียเต็มประตู ด้วยความที่เจ้าตัวขายและส่งออกไวน์ฝรั่งเศส จึงต้องการจัดการแข่งขันเพื่อยืนยันความเหนือชั้นของไวน์ฝรั่งเศสนั่นเอง
โดยมีคณะกรรมการทั้งสิ้น 9 ท่าน แต่ละคนจัดเป็นหัวกะทิ creme de la creme ของวงการณ์ไวน์ฝรั่งเศสทั้งสิ้น
บรรยากาศในงานไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นแต่อย่างใด มีนักข่าวเพียงหนึ่งหยิบมือเท่านั้น George Taber นักข่าวจากนิตยาสาร Time ถึงกับกล่าวว่าเขาแทบจะมั่นใจว่าฝรั่งเศสจะชนะเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา และทั้งหมดนี้ก็คงไม่ได้กลายเป็นข่าวใหญ่อะไร
“Obviously, the French wines were going to win, it’s going to be a non-story.”
คำตัดสิน The Judgement of Paris
เริ่มต้นกันที่การชิมไวน์ขาวก่อน เมื่อ Chardonney ของแคลิฟอร์เนีย ปะทะกับ Chardonney ชั้นเยี่ยมจากเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส ผลปรากฎว่าไม่ใช่แค่เพียงอันดับที่ 1 ที่ตกเป็นของอเมริกา หากแต่อันดับที่ 3 และ 4 ก็กลายเป็นของอเมริกาเช่นกัน!
Steven Spurrier ซึ่งรู้ผลก่อนถึงกับเหงือตก! เขาแอบนำผลไปบอกกรรมการว่ารางวัลที่ 1 ตกเป็นของอเมริกาเสียแล้ว ฉะนั้นรอบไวน์แดง ยังไงฝรั่งเศสก็จะต้องชนะ! เพราะนักดื่มหลายคนให้ความสำคัญกับไวน์แดงมากกว่า เดิมพันจึงสูงมาก!
Blind Tasting ในรอบนี้จึงมีการถกเถียงเกิดขึ้น เสียงเริ่มแตก และถกเถียงกันว่ารสชาติไวน์ที่ชิมไป เป็นของฝรั่งเศสจริงๆ หรือไม่ ซึ่งผลออกมา… ไวน์แดงจากแคลิฟอร์เนียเป็นฝ่ายชนะ!
สรุปผล The Judgement of Paris
ไวน์ขาว Chardonnays
อันดับ 1 – ไวน์อเมริกา California (Napa Valley)- Chateau Montelena (1973)
อันดับ 2 – ไวน์ฝรั่งเศส Meursault Charmes Roulot (1973)
อันดับ 3 – ไวน์อเมริกา Chalone Vineyard (1974)
ไวน์แดง Cabernet Sauvignon
อันดับ 1 – ไวน์อเมริกา California (Napa Valley)- Stag’s Leap Wine Cellars (1973)
อันดับ 2 – ไวน์ฝรั่งเศส Château Mouton-Rothschild (1970)
อันดับ 3 – ไวน์ฝรั่งเศส Château Montrose (1970)
ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ! นอกจากอเมริกายังคว้าอันดับ 1 ทั้งไวน์แดงและไวน์ขาวได้แล้ว ไวน์จากอเมริกาส่วนใหญ่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สูงในสัดส่วนที่เยอะกว่าไวน์จากฝรั่งเศส ทำให้เกิดความฮือฮาอย่างมากในวงการไวน์ ที่นอกจากนักชิมไวน์มือวางอันดับต้นๆ ของฝรั่งเศส จะแยกแยะไวน์ของประเทศตนเองไม่ออกแล้ว ยังแสดงความชื่นชอบไวน์จากอเมริกาออกมาอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าฝรั่งเศสที่ครองอันดับหนึ่งมาตลอด จะต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา! นอกจากจะพยายามยับยั้งการเผยแพร่คำตัดสินนี้สู่สาธารณะชน ยังแบน Steven Spurrier จากการจัดการแข่งขันชิมไวน์ถึง 1 ปี… แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะนักข่าวจากนิตยสาร Time ได้ทำการตีแผ่ข่าวการปราชัยของฝรั่งเศสนี้ จนสร้างกระแสโครมครามไปทั่วโลก
นอกจากนั้นยังนำพาไปสู่การขุดคุ้ยผลการตัดสินครั้งที่แล้วๆ มา ที่ถูกจัดขึ้นที่อเมริกา ทำให้เห็นว่าผลที่ออกมา มีบางครั้งที่ไวน์จากอเมริกาชนะ แต่ผลการตัดสินไม่เป็นที่ยอมรับโดยทางการฝรั่งเศส อ้างการขนส่งทางทะเลที่ยาวนานทำให้ไวน์ฝรั่งเศสเสียรสชาติ ไปจนถึงกรรมการชาวอเมริกันแสดงความลำเอียงในการ blind tasting เป็นต้น
โดยคำตัดสินต่างๆ ที่ถูกนำขึ้นมาพิพาทอีกครั้งได้แก่
– New York Tasting ในปี 1973
– San Diego Tasting ในปี 1975
ความเปลี่ยนแปลงจาก The Judgement of Paris
ผลการเปลี่ยนแปลงที่ตรงที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานในการแข่งขันชิมไวน์ ซึ่งนอกจากจะจัดอันดับแล้วจะจัดคะแนนเป็นเหรียญที่ไวน์ได้รับ เช่น bronze, silver gold และ double gold ซึ่งอันดับอาจไม่สำคัญเท่าไวน์ตัวไหนได้เหรียญอะไร เพราะสุดท้ายการชิมไวน์ก็คือรสนิยมของแต่ละคนนั้นเองครับ โดยตอนนี้ส่วนใหญ่จะให้รางวัลเป็นรายหัวผู้ผลิต (Wineries) ไปเลย ไม่ได้ให้เป็นขวดๆ ครับ
หรืออาจมีการตัดสินอีกแบบหนึ่ง แม้จะไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่อาจจัดขึ้นใน Convention ต่างๆ ที่ต้องการผลตัดสินของผู้บริโภคโดยตรง โดยทำการ Blind Tasting กับนักดื่มหลายๆ คน แล้วจึงนำผลตัดสินมาจัดลำดับ ตั้งแต่ล่าง กลาง และสูง เป็นต้นครับ
แม้เหตุการณ์นี้อาจจุดประกายสงครามเย็นระหว่างไวน์อเมริกัน VS ไวน์ฝรั่งเศส ที่อาจดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ หากแต่ผมเชื่อว่าการแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยผลักดัน ยกระดับสินค้าให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ฝรั่งเศสเริ่มเปิดรับวิวัฒนาการยุคใหม่ในการผลิต เสริมสร้างรสชาติให้ไวน์มากขึ้น จนสุดท้ายแล้วผู้ชนะที่แท้จริงคือผู้บริโภค ที่ปัจจุบันสามารถเข้าถึงไวน์คุณภาพได้จากหลากหลายแหล่ง หลากหลายผู้ผลิตมากขึ้น… ผู้คนตัดสินไวน์ที่ตัวไวน์จริงๆ ไม่ใช่เพียงประเทศที่ไวน์ถูกผลิคนั่นเองครับ!