fbpx

งดบริการให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี อ่านนโยบายการขาย คลิก

ติดต่อเราเพื่อสอบถาม

แอด LINE สั่งเลย

*สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น

Please add Image or Slider Widget in Appearance Widgets Page Banner.
If you would like to use different Widgets on each page, we reccommend Widget Context Plugin.

ทุกเรื่องเกี่ยวกับไวน์อเมริกา (American Wine)

August 14, 2020

Everything is Bigger in America สหรัฐอเมริกา ยักษ์ใหญ่ของโลก ตั้งแต่เรื่องอาหาร วิทยาการ และยุทโธปกรณ์ต่างๆ ต่างก็ Super-Size ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เรื่องไวน์ก็ไม่เว้น เพราะ ‘ไวน์อเมริกา’ เป็นตัวแทนแห่งไวน์โลกใหม่ที่ระเบิดเข้าสู่เวทีวงการไวน์อย่างรุนแรง สั่นคลอนทั้งฝรั่งเศสและอิตาลี ด้วยไวน์ขาว Chardonnay รสละมุมนุ่ม สดชื่น แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงไหล ไปจนถึงไวน์แดง Cabernet Sauvignon รสชาติเข้มข้น หนักแน่น ซับซ้อน อันเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก


ไวน์แนะนำ



ประวัติ ‘ไวน์อเมริกา’

แม้จะถูกนับว่าเป็น ‘ไวน์โลกใหม่’ แต่ประวัติความเป็นมาของ ‘ไวน์อเมริกา’ (American Wine) ก็เก่าแก่ไม่แพ้ที่ใดในโลก เริ่มตั้งแต่ชาวยุโรปที่อพยพสู่อเมริกาเหนือเป็นกลุ่มแรก โดยตั้งชื่อพื้นที่จุดนี้ว่า ‘Vinland’ ความพยายามแรกในการผลิตไวน์คือนำองุ่นท่องถิ่นบริเวณรัฐฟลอริดา เกิดเป็น Cultivate Wine แรกในอเมริกา ที่มีชื่อว่า Scuppernong ขึ้นมา แต่! รสชาติไม่เป็นที่ถูกปากชาวยุโรปซักเท่าไหร่ ต่อมาจึงเริ่มนำองุ่นสายพันธุ์ Vitis vinifera เข้ามาปลูกในแผ่นดินใหม่นี้

การปลูก Vitis vinifera ตอนแรกเจออุปสรรคเยอะมาก! ทั้งศัตรูพืช และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย จนเริ่มมีการผสมสายพันธุ์ ทำให้องุ่นมีความทนทานสภาพพื้นที่ใหม่นี้มากขึ้น อันเป็นผลสำเร็จในปี 1683 และทำให้เริ่มมีการสร้างวินยาร์ดและโรงงานผลิตไวน์ขึ้นทางฝั่งตะวันออก (East Coast) ของอเมริกา

  • โรงงานผลิตไวน์เชิงพาณิชน์ที่ประสบความสำเร็จโรงงานแรกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1830 ที่เมือง Cincinnati รัฐ Ohio

โดยความเจริญ เข้าถึงฝั่งตะวันตก (West Coast) ของอเมริกาทีหลัง โดยแรกเริ่มเมื่อปี 1779 โดยมิชชันนารี Franciscan เน้นผลิตไวน์เพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนา จึงไม่ได้เน้นรสชาติ หรือคุณภาพ โดยกว่าฝั่งตะวันตกจะปลูกและผลิตไวน์เน้นคุณภาพ ก็ปาเข้าไปช่วงปลายปี 1800s ซึ่งเรียกว่า The Gold Rush หลังจากที่พิสูจน์ว่าสามารถปลูกองุ่นสายพันธุ์ Zinfandel ได้ดี ทั้งปริมาณและรสชาติ จนทำให้ไร่องุ่นเริ่มผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และนำสายพันธุ์องุ่นอันหลากหลายจากยุโรปมาปลูก จนในปัจจุบันไวน์อเมริกาผลิตในแคลิฟอร์เนียเกิน 90% เลยทีเดียวครับ

ปัจจุบันอเมริกากลายเป็นผู้ส่งออกไวน์รายใหญ่ ผู้มีกำลังผลิตไวน์เป็นอันดับ 4 ของโลก เป็นรองเพียงอิตาลี ฝรั่งเศส และสเปนเท่านั้น (ข้อมูลจากปี 2019)

สายพันธุ์องุ่นในอเมริกา

ด้วยความที่เป็นสหรัฐเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ สภาพอากาศครอบคลุมทั้งร้อนแห้งแบบแคลิฟอร์เนีย ไปจนถึงหนาวและชื้นอย่างรัฐโอเรกอน จึงทำให้สามารถปลูกองุ่นที่มีความหลากหลายอย่างมาก สายพันธุ์องุ่นที่เป็นที่นิยมที่สุดในอเมริกา คงจะหนีไม่พ้น Chardonnay ซึ่งคนอเมริกาต่างลุ่มหลงมากว่า 10 ปี ตามมาด้วยดาวเด่นแห่งวงการไวน์แดงอย่าง Cabernet Sauvignon ที่มีปริมาณการปลูกเพิ่มมากขึ้นทุกปีอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นอเมริกายังสามารถปลูกองุ่นที่ขึ้นชื่อว่าปลูกยากเกือบที่สุดแล้ว อย่าง Pinot Noir ดีไม่แพ้ประเทศอื่นๆ เลย

นอกจากนั้นสายพันธุ์อื่นๆ ที่คุณไม่อาจมองข้ามเลย ก็มี Merlot, Zinfandel, Syrah, Pinot Gris, French Colombard, Sauvignon blanc และ Rubired ซึ่งเป็นสายพันธุ์ผสมระหว่างTinta Cão และ Alicante Ganzin ครับ

เข้าใจ  Appellation และ AVA (American Viticultural Areas)

หากจะลงลึกไปสู่ไวน์ในพื้นที่ต่างๆ ของอเมริกา คุณจะต้องเข้าใจการจำแนก ‘ไวน์อเมริกา’ เสียก่อน ซึ่งระบบหลักๆ ที่ใช้กันคือการแยกไวน์ตามสถานที่ผลิต ซึ่งจะสามารถทำได้ 2 รูปแบบ 

  • Appellation  75% ของไวน์ต้องมาจากองุ่นที่ถูกปลูกในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะถูกกำหนดขึ้นตามกฎหมาย เช่นพื้นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย พื้นที่เทศมณฑลของ Napa (Napa County) เป็นต้น
  • AVA 85% ของไวน์ต้องมาจากองุ่นที่ถูกปลูกในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งพื้นที่นั้นๆ อาจถูกกำหนดโดยกฎหมาย หรือรูปแบบพื้นที่เชิงภูมิศาสตร์ อันมีความแตกต่างชัดเจนอย่างพิสูจน์ได้ โดยเฉพาะในรสชาติของไวน์

นั้นเป็นเหตุผลที่บางครั้งพื้นที่ AVA หนึ่ง อาจคาบเกี่ยวพื้นที่ 2 รัฐได้ เช่น  Walla Walla Valley

(อยู่ระหว่างWashington และOregon) เป็นต้นครับ โดย AVA สามารถแบ่งย่อยเป็น sub-AVA ได้อีกหากพิสูจน์ได้จริงๆ ว่าเป็นพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ แต่ต่างจากพื้นที่โดยรอบจริงๆ จึงมักถูกกำกับด้วยปี ค.ศ. เพื่อระบุว่าถูกตั้งให้เป็น AVA เมื่อปีไหนนั้นเองครับ 

แผนผังเเหล่งผลิต ‘ไวน์อเมริกา‘ 

พื้นที่ใหญ่ๆ ของอเมริกา ไม่ได้เหมาะกับการปลูกไวน์ซะหมด แต่ต้องอาศัยพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจงอย่างมาก เอื้ออำนวยทั้งสภาพอากาศ สภาพดิน ปริมาณน้ำฝน และอุณหภูมิ ซึ่งหากแบ่งเป็น 4 พื้นที่ใหญ่ๆ 

ตะวันตก (West Coast)  California / Washington / Oregon : ผลิตไวน์ได้มากกว่า 95% ของไวน์ทั้งหมดในอเมริกา ตั้งแต่ไวน์แดงที่ต้องอาศัยอากาศร้อน ไปจนถึงไวน์ขาวรสละมุมที่เหมาะกับอากาศหนาวก็ปลูกได้ดีครับ

ตะวันตกเฉียงเหนือ (Northeastern) New york / Pennsylvania : สามารถปลูกองุ่นเมืองหนาวที่มีความเฉพาะเจาะจง

ทางใต้ (South) Texas / Verginia : เน้นในการผลิต Red full-body ที่ยังคงการผลิตและสายพันธุ์องุ่นแบบดั้งเดิมไว้อยู่

กลางเยื้องตะวันตก Ohio / Michigan / Missouri : เคยเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตไวน์อย่างแพร่หลายในสมัยก่อน แต่สู่ไวน์จ้าวใหม่ไม่ได้ การผลิตจึงน้อยลงอย่างมากครับ 

แคลิฟอร์เนีย Califonia

หากพูดถึง ‘ไวน์อเมริกา’ (American Wine) ยังไงก็ต้องพูดถึงแคลิฟอร์เนีย เพราะเป็นพื้นที่ที่รับผิดชอบในการผลิตไวน์ถึงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของไวน์ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา เหตุผลสำคัญคือสภาพอากาศของแคลิฟอร์เนีย ที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์อย่างมาก โดยบางพื้นที่อาจถือว่ามีสภาพอากาศแบบแถบเมดิเตอร์เรเนียน ที่ร้อนระหว่างวัน และหนาวช่วงกลางคืน แทรกด้วยบางพื้นที่ที่เป็นเขาสูง หรือเป็นหุบเขาแห้งและร้อน บวกกับดินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุ ทำให้เหมาะกับการทำไวน์ยิ่งนัก ซึ่งมีพื้นที่ปลูกองุ่นดังๆ มากมาย เช่น

  • Napa Valley (Link)

แม้จะนับเป็นเพียง 4% ของไวน์ที่ผลิตในแคลิฟอร์เนียทั้งหมด แต่เป็นพื้นที่เล็กๆ ขนาดเพียง 2,044 ตร.กม. แต่เป็นดั่งผู้เปิดประตูให้ทั้งโลกยอมรับว่าอเมริกาสามารถผลิตไวน์คุณภาพดีเทียบเท่าฝรั่งเศสหรืออิตาลี จากเหตุการณ์ที่เรียกว่า “The Judgment Of Paris”

จุดขาย – เหมาะสำหรับคนที่ชอบความหรูหรา ไวน์พรีเมี่ยม และขึ้นชื่อเรื่อง Cabernet Sauvignon จากภูเขาสูง รสชาติเข้มข้นซับซ้อน เเบรนด์ Spottswoode Estate ก็เป็นอีกเจ้าที่ผลิต Cab 2016 ออกมาได้น่าสนใจ ลองไปดูกันได้ครับ 

องุ่นเด่นๆ –  Cabernet Sauvignon และ  Chardonnay 

Sub-AVA แนะนำOakville (1993) / Stags Leap District (1989) / Spring Mountain District (1993)/ Howell Mountain (1983) / Atlas Peak (1992)

ใครอยากเจาะลึกทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ Napa Valley คลิก อ่านเพิ่มเติม ได้เลยครับ

  • โซโนมา Sonoma (Link)

เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เน้นผลิต ‘ไวน์อเมริกา’ คุณภาพ เพียง 6 เปอร์เซ็นต์ของไวน์ในแคลิฟอร์เนียเท่านั้น มีเนินเขาสูงและอากาศหนาวจากอิทธิพลของชายฝั่งแฟซิฟิค เอกลักษณ์คือมักมีหมอกลงจัด เหมาะกับการปลูกองุ่นเมืองหนาวครับ

จุดขาย – ไวน์คุณภาพเยี่ยม แต่มีบรรยากาศชนบท ติดดินมากกว่านาปาวัลเล่ย์

องุ่นเด่นๆ – Pinot Nopir และ Chardonnay

Sub-AVA แนะนำ – Sonoma Valley (1981) / Russian River Valley (1983) / Chalk Hill (1983) / 

Dry Creek Valley (1983)

ใครอยากเจาะลึกทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ Sonoma คลิกอ่านเพิ่มเติม ได้เลยครับ

  • Mendocino 

อยู่ทางใต้ลงมาหน่อยจากโซโนมาและนาปาวัลเล่ย์ ติดกับป่า Red Wood สภาพอากาศหนาวและชื้น เต็มไปด้วยไร่ขนาดเล็ก หรือไร่องุ่นออแกนิค

จุดขาย – ได้ความเป็นส่วนตัวสูง ไวน์คุณภาพ ราคาไม่แพง

องุ่นเด่นๆ – สปาร์คกลิ้งไวน์, lighted-bodied Cabernet และ Pinot Noir

  • Sierra Foothills

ตั้งอยู่เฉียงขึ้นไปหน่อย นับเป็นพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ตั้งอยู่ระหว่าง Murphy’s และ Plymouth ไปจนถึง Placerville และ Nevada City ไร่จะไม่ค่อยตั้งติดๆ กันแต่จะเว้นที่ห่างกันเสียหน่อย โดยแต่ละไร่ ก็จะมีเอกลักษณ์และจุดขายของตนเอง

จุดขาย – เน้นความหลากหลายของพันธุ์องุ่น รวมถึงไร่ที่เป็น Specialty Wine เช่นเป็น Vegan หรือ Biodynamic Wine เป็นต้น

องุ่นเด่นๆ – Zinfandel, Syrah และ Barbera

  • Santa Lucia Highlands

อยู่ในเขต Monterey ซึ่งเต็มไปด้วยอุตสาหกรรม แต่ก็ยังสามารถผลิตไวน์คุณภาพเยี่ยม สามารถส่งออกไป Winery ทั่วแคลิฟอร์เนีย แต่ด้วยอากาศและดินที่มีความเป็นเนินลูกคลื่น ทำให้มีการปลูกองุ่นได้ดีไม่แพ้ที่อื่น

จุดขาย – Pinot Noir เกรดท็อปๆ ของประเทศ

องุ่นเด่นๆ – Pinot Noir และ Chardonney

Washington วอชิงตัน

เป็นพื้นที่ที่มีธรรมเนียมการปลูกและผลิตไวน์ที่มีเอกลักษณ์มาก เพราะพื้นที่ไร่ปลูกองุ่น และโรงงานผลิตไวน์ในวอชิงตัน มักจะอยู่ห่างกันอย่างมาก ฉะนั้นการขนส่งองุ่นเป็นระยะทางกว่า 300 กิโลเมตรหลังการเก็บเกี่ยวทุกครั้ง จึงเป็นเรื่องปกติ 

โดยวอชิงตันมีอากาศหนาว แห้ง และแสงแดดจ้า แต่ไม่แห้งแล้งเพราะมีแม่น้ำสายใหญ่อย่าง Columbia River ไหลผ่าน องุ่นที่ปลูกได้จึงเป็นองุ่นที่สามารถทนทานอากาศหนาว จึงปลูก Riesling และ Chardonney ได้ดีที่สุดครับ

  • Lake Chelan (2009)

เป็นพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าพื้นที่อื่นๆ ในวอชิงตัน อุดมไปด้วยดินกรวด หยาบๆ แต่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ลักษณะอากาศจะอุ่นกว่าพื้นที่รอบข้าง

จุดขาย อากาศจะสบายกว่าวอชิงตันทั่วไป จึงมีเวลาเติบโตที่ยาวนานกว่าที่อื่น ทำให้ได้องุ่นที่หวานกว่า

องุ่นเด่นๆ  Pinot Noir และ Riesling

  • Columbia Gorge (2004)

ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Columbia ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นการเปลี่ยนถ่ายระกหว่างอากาศร้อน สู่อากาศหนาวเย็นแบบ maritime ดินก็จะมีความหยาบร่วน แต่จะมีส่วนผสมของแร่ quartz และ mica เพิ่มแร่ธาตุให้องุ่นครับ
จุดขาย เป็นไม่กี่พื้นที่ที่ปลูกองุ่นขาวมากกว่าองุ่นแดง โดยไวน์มักจะ Acidity สูง
องุ่นเด่น Chardonnay, Gewürztraminer และ Pinot Gris

  • Puget Sound (1995)

เป็นพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแบบ Maritime แบบเต็มๆ จึงมีความหนาวเย็นและฝนตกเยอะที่สุดในบรรดาพื้นที่ทั้งหมด แต่ก็ยังมีหน้าร้อนที่อุ่น แห้ง และมีแสงอาทิตย์ส่องนานหน่อยอยู่เหมือนกันครับ

จุดขาย ไวน์แดงที่รสชาติอ่อนนุ่ม

องุ่นเด่น  Pinot Noir และ Riesling

  • Walla Walla Valley (1984)

อยู่ทางใต้ ถลำเข้าไปในโอริกอนเล็กน้อย มีอากาศที่แห้ง และมีแสงส่องถึง โดยอากาศจะเย็นๆ ไปจนถึงอบอุ่นในช่วงระหว่างวัน แต่ตอนกลางคืนจะหนาวมาก มีฝนตกบ้างไม่เยอะ สภาพอากาศเช่นนี้ทำให้องุ่นมีน้ำตาลสูง เปรี้ยวสูง ได้ไวน์ที่มีแอลกอฮอร์ และ Acidity สูง
จุดขาย ไวน์แดงรสชาติเข้มข้นให้โน๊ตของพลัม มีความ Meaty ของเบคอนเล็กๆ
องุ่นเด่น Cabernet Sauvignon, Syrah และ Malbec

Oregon โอริกอน

แม้โอริกอนจะผลิตไวน์ได้ประมาณ 1-2% ของไวน์ในแคลิฟอร์เนียเท่านั้น แต่ก็ยังเป็นที่จับตามองเพราะ 60% ของไวน์จากโอริกอนคือ Pinot noir ที่มีคุณภาพไม่แพ้ทางฝั่งยุโรปเลย แต่อาจไม่เป็นที่นิยมในอเมริกาที่นิยมไวน์ Fruity มากกว่าไวน์ที่รสชาติหนักๆ เน้นโน๊ตที่ Earthy ซับซ้อนมากกว่า จนหลายคนนำไปเปรียบเทียบกับไวน์เบอร์กันดีเลยทีเดียว! 

โอริกอนถูกจัดว่าอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศ warm-summer mediterranean ด้วยหน้าร้อนที่อบอุ่น หน้าหนาวที่หนาวชื้น แต่บางครั้งได้อิทธิพลจาก Arctic cold waves ทำให้อากาศอาจสามารถลงต่ำกว่าอากาศพื้นที่เมดิเตอร์เรเนียนทั่วไป ทำให้อาจปลูกองุนไม่ได้เยอะเท่าไหร่ครับ

  • Willamette Valley (1984)

อยู่แถบตะวันตกเฉียงเหนือของโอริกอน ติดกับวอชิงตัน มีสภาพอากาศไม่หนาวมาก เพราะได้แนวเขาสูงป้องกันลมหนาวที่พัดมาจากชายฝั่งแปซิฟิก แต่ถึงยังไงพื้นที่นี้ก็ยังมีความชื้น มีฝนเยอะอยู่
จุดขาย : ขึ้นชื่อเรื่อง Pinot noir ที่มี Acidity สูง มีโน๊ตหลักของแครนเบอร์รี่ และกลิ่นดิน
องุ่นหลัก : Pinot noir, Pinot Gris และ Chardonnay
Sub-AVA แนะนำ : Chehalem Mountains / Ribbon Ridge / Eola-Amity Hills 

  • The Rocks District of Milton-Freewater (2015)

เป็น Sub-AVA ของ Walla Walla Valley ที่มีพื้นที่ทั้งในวอชิงตันและโอริกอน เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความแตกต่างกับพื้นที่อื่นอย่างชัดเจน ด้วยสภาพดินที่หน้าดินปกคลุมด้วยหิน ส่วนชั้นดินข้างล้างเป็นดินชื้นอัดแน่น
จุดขาย : สภาพพื้นที่ที่ไม่เหมือนใคร และผลิต Syrah รสละมุนนุ่มได้
องุ่นหลัก : Syrah, Cabernet Sauvignon และ Grenache 

New york นิวยอร์ก

หลังจากที่พูดถึงพื้นที่ West Coast มายาวนาน คราวนี้มาดูฝั่ง Northeastern กันบ้างครับ ซึ่งนอกจากองุ่นท้องถิ่นแล้ว ยังสามารถปลูกองุ่นทำไวน์ ที่มีลักษณะเฉพาะได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Riesling Cabernet Franc ไปจนถึง Merlot ซึ่งแผนผังการไร่องุ่นในนิวยาร์กค่อนข้างจะกระจัดกระจาย กระจุกตัวอยู่ ณ จุดที่ไม่หนาวจนเกินไป มีทะเลสาบหรือแม่น้ำให้ความชุ่มชื้นกับองุ่นได้ครับ

  • The Finger Lakes (1982)

เป็นพื้นที่ริ้วทะเลสาบที่ห่างจากตัวเมืองนิวยอร์กประมาณ 5 ชั่วโมง เต็มไปด้วย Sub-AVA มากมายไปตามแนวทะเลสาบ Cayuga และทะเลสาบ Seneca Lake ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นฉนวนกักความร้อนในช่วงหน้าหนาว และระบายความเย็นในช่วงหน้าร้อน
จุดขาย : มี Riesling ที่รสชาติดี อีกทั้งยังสามารถผลิตไวน์หวานชนิด Ice wine ได้อีกด้วยครับ
องุ่นหลัก : Riesling, Chardonnay และ Pinot Noir
Sub-AVA แนะนำ : Cayuga Lake (1988) / Seneca Lake (2003) / Hudson River Region (1982)

  • Long Island (2001)

น้อยคนที่จะรู้ว่าลองไอแลนด์ มีการผลิตไวน์ด้วย โดยเป็น AVA ที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อปี 2001 ด้วยความที่มีฤดูร้อนที่อบอุ่นขึ้นมาหน่อยและลมเย็นจากฝั่ง Atlantic ทำให้สามารถปลูกองุ่นที่หลากหลายได้ครับ
จุดขาย : สามารถปลูกองุ่นที่หลากหลายทำให้ไวน์มีความ Experimental รวมกับสปาร์กลิ้งไวน์ของพื้นที่นี้ก็ออกมาไม่เลวทีเดียว
องุ่นหลัก : Cabernet Franc, Merlot และ Sauvignon Blanc

Virginia เวอร์จิเนีย

ทางใต้ของอเมริกาก็สามารถผลิตไวน์ได้ เช่นรัฐเวอร์จิเนีย ที่ภาคภูมิใจในหัวอนุรักษ์ของตนเองที่สืบทอดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยองุ่นที่นิยมปลูกคือ Viognier, Cabernet Franc และ Petit Verdot โดยไม่ได้ถูกกดดันจนเปลี่ยนไปปลูกสายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ โดยขึ้นชื่อว่ามีเวลาให้องุ่นเติบโตถึง 200 วัน (200-day growing season) ด้วยสภาพอากาศที่จัดอยู่ในกลุ่ม humid subtropical ทำให้อากาศไม่หนาวหรือร้อนรุนแรง

Texas เทกซัส

ด้วยความที่มีอากาศร้อนและมีแสงอาทิตทั้งปี จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่รัฐที่สามารถผลิตองุ่น Tempranillo ได้เป็นหลัก โดยเป็นองุ่นแดงรสชาติเข้มข้น tannin สูงเป็นที่นิยมในสเปน นอกจากนั้นยังสามารถปลูก Cabernet Sauvignon, Syrah, Albarino และ Zinfandel ได้อีกด้วยครับ

Pennsylvania เพนซิลเวเนีย

หากเทียบกับรัฐข้างเคียงในภูมิภาค  Northeastern แล้ว เพนซิลเวเนียถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีอากาศไม่ค่อยหนาวเย็นรุนแรงเท่าไหร่ สามารถปลูก Pinot Grigio, Merlot และ Riesling ได้ดี และมีพื้นที่ที่น่าสนใจอยู่บ้างเช่น Lake Erie ที่สามารถผลิต Ice Wine ได้ด้วยครับ

ไวน์โลกใหม่สายเลือกอเมริกัน ยังมีหลายเรื่องให่เรียนรู้ ศึกษานะครับ แต่ก็คาดว่าใครอ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงจะได้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอเมริกาไปไม่มากก็น้อยนะครับ

Our favourite wines

"ไวน์" ไวน์แมน - ไวน์แดง ขาว สปาร์กลิงไวน์

สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด

บริษัทขอสงวนสิทธิ์การสั่งให้สำหรับแค่ลูกค้านิติบุคคลเท่านั้น ผู้สั่งต้องรับสินค้าด้วยตัวเอง พนักงานทางร้านจะต้องมีการพบหน้าผู้สั่งและตรวจสอบบัตรประชาชนและอายุโดยไม่มีข้อยกเว้น องค์ประกอบภาพและคำอธิบายทั้งหมดไม่ได้บ่งบอกถึงประเภทและสรรพคุณของเครื่องดื่ม สั่งไวน์ ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์กลิงไวน์ กับแพลตฟอร์มไวน์ชั้นนำเเห่งประเทศไทย เลือกจากไวน์คัดสรรอย่างดีกว่า 3000 ตัว ตั้งแต่ราคาเบาๆดื่มง่าย จนถึงไวน์ขั้นเทพระดับ Grand Cru มีแสตมป์ทุกขวด หลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับหลายคนที่คุ้นเคยกับ Chardonnay สไตล์อเมริกัน ออสเตรเลีย ที่มักหมักหรือเอจไวน์ในถังโอ๊ค ทำให้ Chardonnay เป็นสไตล์ full-bodied โน้ตเนย วานิลลาชัดเจน อาจตั้งข้อสงสัยว่า Chardonnay ไม่เห็นมี acidity เลย! นั่นเพราะไวน์ขาวได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า  ‘Malolactic Fermentation’ (อ่านเพิ่มเติมในบทความอธิบาย acidity ได้เลยครับ) ไวน์จึงมีรสหวาน และมันมากขึ้น acidity จึงไม่ชัด แต่โดยธรรมชาติแล้ว Chardonnay มี acidity ที่ค่อนข้างสูงเลยครับ! สังเกตได้จาก Chardonnay จากเบอร์กันดีแสงโด่งดังในเมือง Chablis ที่ไม่ใช้การหมัก และเอจในถึงโอ๊คเลย จะได้ไวน์ที่รสชาติแตกต่าง ฟรุ๊ตตี้ สดชื่น เต็มไปด้วยแร่ธาตุ acidity สดใสครับ
preloader